เจาะ5ประเด็น ก่อนศึก “แดงเดือด” ศึกเอฟเอ คัพ รอบ4

เจาะ5ประเด็น ก่อนศึก “แดงเดือด” ศึกเอฟเอ คัพ รอบ4

 

เจาะ5ประเด็น ก่อนศึก "แดงเดือด" ศึกเอฟเอ คัพ รอบ4

 

 

ลิเวอร์พูล ยังคงอยู่ในช่วงฟอร์มตกอย่างหนัก ใน เกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สำหรับการเปิดศึก “แดงเดือด” ในแมตช์เยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ศึกเอฟเอ คัพ รอบ 4 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อาจจะเป็น จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ “ลิเวอร์พูล” ในฤดูกาลนี้ก็ได้

 

1. หงส์แดงขาดความมั่นใจในตัวเอง

     สถานการณ์ในตอนนี้ของ หงส์แดง ไม่ต่างอะไรกับคนที่ขาดความมั่นใจ ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นเพราะผลงานที่ชนะใครไม่เป็นเลย ในเกมลีก 5 แมตช์ติดต่อกัน และยิงประตูไม่ได้ 4 เกมรวด ซึ่งส่งผลต่อสภาพจิตใจของลูกทีม อย่างยิ่งโดยเฉพาะบรรดาผู้เล่นตัวรุก

     และในเกมล่าสุดที่แพ้ทีม เบิร์นลี่ย์ ขนาด ดิว็อก โอริกี้ หลุดเดี่ยวไปดวลกับนายทวาร ยังยิงบอลไปชนคาน ทั้ง ๆ ที่หากเป็น “เดอะ เร้ดส์” ในช่วงสภาพจิตใจแข็งแกร่ง ในจังหวะแบบนั้นแล้วละก็ ใส่สกอร์เป็นประตูขึ้นนำไปแล้ว

   นี่จึงเป็นปัญหาที่ ผู้จัดการทีม ต้องรีบแก้ไขเป็นโดยเร่งด่วน เพราะหากพูดถึง เรื่องฟอร์มการเล่นต้องบอกเลยว่า “ลิเวอร์พูล” ยังเหนือกว่าคู่แข่งทั้ง 5 แมตช์ ที่ผ่านมาอีก แต่สิ่งที่ขาดหายไป ก็คือ ความแม่นยำในการยิงประตู โดยเฉพาะ 3 ประสาน “หิน เหล็ก ไฟ” ที่ฟอร์มถูกขโมยไปนับตั้งแต่ช่วยทีมถล่ม คริสตัล พาเลซ

     เราจะเห็นได้ชัดว่า ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ครองเกม และกดดันคู่แข่งอยู่ตลอดเวลา แต่พวกเขามาพลาดท่า เมื่อเข้าสู่พื้นที่สุดท้าย ทั้ง ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ พวกเขาลงเล่นกันเหมือนกับว่าไม่ได้ฝึกซ้อมมา การสอดประสานที่เคยมองตารู้ใจไม่มีให้เห็น แถมจังหวะยังขาด ๆ เกิน ๆ จนทำให้ทีมเสียโอกาสในการยิงประตู

     และที่สำคัญ จังหวะการครอสบอล จากริมเส้นที่กดดันคู่แข่งได้ตลอด แต่ตอนนี้ทั้ง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กับ เทนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่สามารถทำได้เลย และดูเหมือนว่า ทีมของคู่แข่งหลายต่อหลายทีมจับทางการเล่นของแชมป์เก่าได้หมดแล้ว งานนี้ คล็อปป์ จึงต้องรีบหาทางแก้ไขโดยเร่งด่วน ไม่งั้นเกมที่ โอลด์ แทร็ฟอฟร์ด อาจจะต้องน้ำตาตกก็ได้ 
 

2. ความมั่นใจเต็มเปี่ยมของแมนยูฯ ในการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก

     สำหรับเหล่าสาวก “แมนยูฯ” ต่างคงคิดเหมือนกันว่า นี่คือ โอกาสทอง ที่พวกเขาจะจัดการทำลายความมั่นใจของคู่อริตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูล ให้หมดสิ้น และทำให้คู่แข่งขาดความมั่นใจไปตลอดแมตส์นี้

     ศึก”แดงเดือด” ที่ แอนฟิลด์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ “ลิเวอร์พูล” จะมีสถิติในการครองเกมที่เหลือกว่าก็ตาม แต่พวกเขาแทบจะไม่สามารถสร้างโอกาสทำให้ กองหลัง และ ดาบิด เด เคอา ต้องทำฟอร์มอะไรมากนัก เพราะเวลาที่ต่อเกมขึ้นมา ทุกอย่างจะจบลงด้วยการเปิดบอลติดแนวรับ หรือไม่ก็เสียบอลไปแบบง่าย ๆ ทำให้แทบไม่มีโอกาสในการจบสกอร์ด้วยซ้ำ

เรื่องพละกำลังของทั้งคู่ ต้องบอกว่าไม่ได้มีความแตกต่างกันสักเท่าไหร่ แต่ “ลิเวอร์พูล” อาจจะเสียเปรียบอยู่นิดหน่อยตรง เรื่องแนวรับที่พวกเขาไม่ได้ใช้งาน เซนเตอร์แบ็กที่ดีที่สุด ในขณะที่ “แมนยูฯ” ต้องบอกว่ามีนักเตะฟอร์มดีทั้ง แฮร์รี่ แม็กไกวร์, เอริค ไบยี่ และ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ อยู่ในช่วงฟอร์มแกร่งสุด ๆ

     ในส่วนของแดนกลาง ติอาโก้ อัลกันตาร่า กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส กับ ปอล ป็อกบา แต่สำหรับแนวรุกในเวลานี้คงต้องยกให้ฝั่ง ป๊สาจแดง ที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทั้งฟอร์มการเล่นและสภาพจิตใจ

     เอดินสัน คาวานี่, มาร์คัส แรชฟอร์ด, อองโตนี่ มาร์กซิยาล และ เมสัน กรีนวู้ด ดูมุมไหนแล้วก็เหนือกว่าสามประสาน “เอสเอ็มเอฟ” แถมกำลังตัวสำรองอย่าง ดิว็อค โอริกี้ และ ทาคุมิ มินามิโนะ ยังไม่สามารถเล่นแทนได้ ขณะที่ ดีโอโก้ โชต้า ที่น่าจะพึ่งพาได้ดีที่สุด ในตอนนี้ ก็มาบาดเจ็บต้องรอช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง

    ดังนั้นการได้เล่นใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด พร้อมกับความมั่นใจเต็มเปี่ยม จึงเป็นโอกาสทองที่ กัปตัน โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จะจัดการกับ ทีมคู่อริตลอดกาล อย่าง ลิเวอร์พูล ให้จมมิด ที่สำคัญยังเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นในการทะยานสู่ การลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกในรอบ 8 ปีด้วย 

 

 

3.  คล็อปป์ ต้องผ่านไปให้ได้ ในศึกเอฟเอ คัพ

     นอกจากผลงานในลีกที่ไม่ค่อยน่าสู้ดีนัก ด้วยคำว่าชนะไม่เป็นมาตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ผลงานใน ศึกเอฟเอ คัพ ของ ลิเวอร์พูล ในยุคที่ คล็อปป์ ก้าวเข้ามาจัดการทีมของ “ลิเวอร์พูล” ฟอร์มการเล่นก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่

     คล็อปป์ มีสถิติที่โดดเด่นมาก ๆ นับตั้งแต่ที่เข้ามารับตำแหน่งนายใหญ่แห่งถิ่น แอนฟิลด์ เมื่อปี 2015 อย่างไรก็ตามสิ่งที่ นายใหญ่ชาวเยอรมัน ยังไม่สามารถทำได้ดีเหมือนกับ เกมลีก และ เกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นั่นก็คือ ศึกเอฟเอ คัพ ที่ดูเหมือนไม่ค่อยลงลอยกับเขาสักเท่าไหร่

  ตลอดระยะเวลาที่ คล็อปป์ คุมทัพ “เดอะ เร้ดส์” พวกเขาไปได้ไกลที่สุดเพียงแค่รอบ 5 เท่านั้น และก็ทำได้แค่ครั้งเดียวเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ก่อนจะโดน  เชลซี จัดการถล่มยับสร้างความเจ็บปวดไปไม่น้อย

     ก่อนหน้านี้ หงส์แดง ในยุคของ คล็อปป์ ก็โดนทั้ง  เวสต์แฮม ยูไนเต็ด,  วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ (2 ครั้ง) และ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน จัดการบดขยี้มาแล้ว ในการแข่งขันฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก 

     ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เพราะพวกเขาคว้าชัยชนะในบ้านกับการเล่น ศึกเอฟเอ คัพ 7 ครั้งหลังสุดโดยที่ไม่เสียสักประตูเดียว แถมครั้งสุดท้ายที่พวกเขาไร้ชัยใน กับการแข่งขันรายการนี้เกิดขึ้นเมื่อซีซั่น 2015/2016 รอบ 16 ทีมสุดท้าย เสมอ เวสต์แฮม 1-1 

     ดังนั้นเกมนี้ คล็อปป์ คงต้องเจอกับงานสุดหิน สุดท้าทาย เพราะทั้งฟอร์มที่ย่ำแย่ บวกกับทีมที่ไร้ความมั่นใจ และสถิติการแข่งที่ไม่ค่อยดีนัก โอกาสที่เขาจะต้องทนเจ็บปวดกับอาถรรพ์ในรายการนี้ต่อไปมีค่อนข้างสูงเลยทีเดียว 

 

 

4. สถิติ “แดงเดือด” ฉบับเอฟเอ คัพ แมนยู คือเจ้าพ่อถ้วยฟูตบอล

     แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อฟุตบอลถ้วยรายการนี้อยู่แล้ว เพราะพวกเขาครองแชมป์มาแล้ว 12 ครั้ง และเป็นรองแค่ อาร์เซน่อล ที่คว้าแชมป์ไปแล้ว 14 สมัย ดังนั้นในการปะทะกับ ลิเวอร์พูล ที่อยู่ในช่วงฟอร์มตกอยู่ตอนนี้ ย่อมมีโอกาสที่จะตอกย้ำคู่อริตลอดกาลให้เสียขวัญเข้าไปอีก

     สถิติทุกรายการที่ทั้ง 2 ทีมปะทะกันต้องยอมรับว่า แมนยูฯ เหนือกว่า มาตลอด 205 เกมที่พวกเขาดวลกันนับตั้งแต่ปี 1894 “แมนยู” ชนะ 80 เกมขณะที่ “ลิเวอร์พูล” สอยไป 67 แมตช์ ที่เหลือ 58 เกมรวมทั้งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จบลงด้วยผลเสมอ

อย่างไรก็ตามหากมองไปที่การแข่งขัน เอฟเอ คัพ 17 แมตช์ก่อนหน้านี้ แมนยูฯ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการเจอกับ “เดอะ เร้ดส์” โดย แมนยูฯ ชนะ 9 แมตช์ และเสมอกัน 4 เกมเท่านั้น ขณะที่ หงส์แดง ชนะใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ครั้งล่าสุดต้องย้อนไปเมื่อปี 2014 ด้วยคะแนน 3-0 

     จากสถิติที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล โดนแมนยูฯ เขี่ยตกรอง มากกว่าทีมอื่น ๆ  จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า คล็อปป์ เจอกับปัญหาใหญ่แน่นอนในการดวลกับ “เร้ด เดวิลส์” โดยที่พวกเขายิงประตูไม่ได้เลยมานานกว่า 7 ชั่วโมงใน เกมพรีเมียร์ลีก 

     ส่วนประตูที่ ลิเวอร์พูล ทำได้ในปี 2021 ก็คือแมตช์ที่แข่งกับ แอสตัน วิลล่า  ในศึกเอฟเอ คัพ รอบที่ผ่านมา 
  

 

5. จุดเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสของ ลิเวอร์พูล!!

      จุดเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสของ ลิเวอร์พูล คือการเก็บชัยชนะให้ได้ และในศึก “เร้ด วอร์” ฉบับบอล น็อกเอาต์ คือโอกาสสำคัญที่ คล็อปป์ จะนำลูกทีมผ่าวิฤกติร้ายในครั้งนี้ไปให้ได้ 

การบุกเอาชนะเจ้าถิ่นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในสนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เป็นการสร้างขวัญกำลังใจที่ดีมาก ๆ ให้กับบรรดาลูกทีม “ลิเวอร์พูล” เพราะในแมตช์ต่อไป เป็นเกมลีกที่ต้องพบกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 

     และในทางกลับกัน หาก ลิเวอร์พูล ไม่สามารถชนะคู่อริไปได้ งานนี้ความมั่นใจตกลงไปอีก อาจลามไปถึงการแข่งขันทุกรายการที่เหลืออยู่ของพวกเขาในฤดูกาลนี้ก็ได้

 

เจาะ5ประเด็น ก่อนศึก “แดงเดือด” ศึกเอฟเอ คัพ รอบ4

แทงบอลออนไลน์

สมัครเว็บคาสิโนออนไลน์