บทสรุปแดงเดือดในมุมลิเวอร์พูล
เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันของ ลิเวอร์พูล ยอมรับตอนนี้เส้นทางการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ของทัพ “หงส์แดง” ค่อนข้างยากลำบาก ฉะนั้นเป้าหมายหลักก็คือการลุ้นทำอันดับไปเล่นศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
แชมป์เก่าฟอร์มร่วงกราวรูดนับตั้งแต่ช่วงคริสต์มาสจนกระทั่งเกมล่าสุดในศึก “แดงเดือด” ที่ทำได้เพียงแค่เสมอ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบไร้สกอร์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาสะกดคำว่าชนะไม่เป็น 4 เกมลีกติดต่อกัน นอกจากนี้อันดับยังร่วงกราวรูดไปอยู่ที่ 4 โดยโดน “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ ซิตี้ แซงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว
สำหรับปัญหาใหญ่ของ “หงส์แดง” ในเวลานี้ก็คือเกมรุกที่ขาดประสิทธิภาพอย่างมากโดยพวกเขายิงประตูไม่ได้เลยในเกมพรีเมียร์ลีก มานานถึง 348 นาที โดยหนึ่งในเหตุผลก็คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ อยู่ในช่วงฟอร์มตกและขาดความมั่นใจ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดนี้ทำให้ความหวังในการป้องกันแชมป์ลีกค่อนข้างริบหรี่
ด้วยสถานการณ์ในเวลานี้ ลิเวอร์พูล ยังต้องเสียวสันหลังเพราะทั้ง เอฟเวอร์ตัน, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, เซาธ์แฮมป์ตัน และ เชลซี ยืนหายใจรดต้นคอพร้อมที่จะแซงหน้าพวกเขาขึ้นไปยึดท็อปโฟร์ โดย คล็อปป์ เปิดใจว่าเป้าหมายหลักในเวลานี้เปลี่ยนไปแล้ว
“ผมรู้มาตลอด ในฤดูกาลนี้ที่เราคว้าอันดับ 2 เราเก็บได้ 97 คะแนน ผมเริ่มคิดเกี่ยวกับเรื่องการคว้าแชมป์หลังจากที่เราได้ไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก แน่นอน ผมรู้เรื่องงานของผม ผมรู้ถึงสิ่งที่ผมต้องทำ ผมต้องนำทีมผ่านเข้าไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก และผมรู้ว่ามันยากลำบากมากแค่ไหน คุณพูดถูกแล้ว ฤดูกาลนี้มันคงเป็นเรื่องยากลำบากในการแย่งท็อปโฟร์”
“แฟนฟุตบอลเป็นมนุษย์ที่มีสายพันธุ์ที่มีความอดทนต่ำที่สุดในโลกใบนี้ พวกเขาต้องการชัยชนะทุกเกม ผมก็ไม่ต่างกัน แต่ผมอยู่ในวงการนี้มานานพอสมควรถึงได้รู้ว่ามันต้องมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก และนี่คือช่วงวิกฤติที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผม มันยังไม่จบ เราต้องอดทน”
“เรามีแต้มที่ยังเกาะกลุ่มกับทีมอื่นๆ เพื่อที่สู้เพื่อสิ่งนี้ (ท็อปโฟร์) และนั่นคืองานของผม นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องทำ มันไม่ได้เกี่ยวกับว่า -ถ้าเราไม่ได้เป็นแชมป์ มันจะไม่สนุกอีกต่อไป- นั่นไม่เกี่ยวเลย เราสู้เพื่อทุกอย่าง ผมได้เห็นแล้วเมื่อคืนนี้ นั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องการ” คล็อปป์ ร่ายยาว
ในโอกาสนี้จึงขอกะซวกถึง ลิเวอร์พูล บ้างแบบพอสังเขป
1.เมื่อ โฌแอล มาติ๊ป ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ลงสนาม เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่กล้าส่งกองหลังดาวรุ่งอย่าง แน๊ต ฟิลลิปส์ หรือ รีส วิลเลี่ยมส์ ลงไปเสี่ยง โดยยอมถอย จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงมาเป็นเซ็นเตอร์ฯ ซึ่งทำได้ไฉไลเป็นบ้า ด้วยอ่านเกมขาด และมีความเยือกเย็นจนชิงเหลี่ยม เข้าเบียดบังทางคู่แข่งได้หลายจังหวะ
2.แม้จะไม่มีกัปตันทีมในแดนกลาง ทว่ามิดฟิลด์ของ ลิเวอร์พูล ก็คุมเกมได้เหนือกว่าผู้มาเยือน เมื่อได้ลงตัวจริง เซอร์ดาน ชากีรี่ ทำเกมรุกได้อย่างมีสีสันและหวือหวากว่า อเล็กซ์-อ๊อกซ์เลด แชมเบอร์เลน หรือ เคอร์ติส โจนส์ ขณะที่ ติอาโก้ อัลคันตาร่า เป็นห้องเครื่องที่คุมจังหวะพลางกำหนดว่าจะช้าหรือเร็ว-จะสั้นหรือยาวช่วยให้เกมไหลลื่น
3.ปัญหาคือจังหวะสุดท้ายนี่แหละ ฟูลแบ็ค 2 ข้างเล่นเกมรุกเหมือนเป็นปีก แต่มักจะไปตายง่ายๆ ในจังหวะครอสส์บอลเข้ากลาง
หนักยิ่งกว่าคือ 3 ประสานในหน่วยล่าสังหารที่เหมือนเครื่องยนต์ที่ไม่ได้หยอดน้ำมันหล่อลื่น เฉพาะอย่างยิ่ง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่ดูจะติดๆ ขัดๆ เหมือนถูกกางเกงในเข้าตูด ขณะที่ โม ซาล่าห์ กับ ซาดิโอ มาเน่ หนีการประกบของฟูลแบ็คคู่แข่งไม่ออกเลย
4.เกมรับไม่มีอะไรผิดพลาดน่าเกลียด แถมไม่เสียประตูก็จริง แต่เกมรุกกลับไม่ค่อยหลากหลายเท่าที่ควร
ลิเวอร์พูล หาจังหวะยิงได้เกือบ 20 ครั้งก็จริง แต่เกมรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด หนาแน่นเสียจนไม่ยินยอมให้พวกเขามีจังหวะยิงแบบจะแจ้ง
กล่าวคือไม่ใช่แค่ไร้ประสิทธิ์ภาพอย่างเดียว หงส์แดงหาจังหวะเผด็จศึกแบบเหน่งๆ แบบมันต้องตุงตาข่ายแทบไม่เจอต่างหาก หรือพูดง่ายๆ อีกอย่างว่าพวกเขาถูกบังคับให้ยิงไม่ถนัด แล้วแก้ไขไม่ได้นั่นแหละ
ลูกตั้งเตะทั้งฟรีคิกและเตะมุม พอไม่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กับ โฌแอล มาติ๊ป นี่กลายเป็นทำประโยชน์อะไรไม่ได้เลย
5.เท่านั้นไม่พอ
การขาด ดิโอโก้ โชต้า ยังคงส่งปัญหาอีกนัด เพราะเมื่อเกมรุกมันฝืดเคืองจนเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดๆ ผู้เป็นกุนซือแทบไม่มีทางเลือกในการแก้เกมสักเท่าไหร่ เนื่องจากเขามองว่าคุณภาพของ ดิว็อค โอริกี้ กับ ทาคูมิ มินามิโนะ ห่างจากผู้เล่นตัวจริงมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม การทำได้แค่เสมอทั้งที่ตัวเองบุกมากกว่า และมีโอกาสจบสกอร์มากกว่าก็ถือว่าไม่เสียหายอะไร หากมองว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสใกล้เคียงกับการเป็นประตูมากกว่า
บทสรุปแดงเดือดในมุมลิเวอร์พูล