ศึกปฐพีเดือดลิเวอร์พูล-แมนยู รอบนี้การันตีบู๊ระห่ำสุดรอบหลายปี
กล่าวสำหรับการโรมรันระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การเจอกันของสองยักษ์ใหญ่ร่วมภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษเท่านั้น หากแต่มันยังมีความหมายถึงรากเหง้าของคนทั้งสองเมือง ซึ่งแย่งชิงความยิ่งใหญ่กันมาตลอด ไล่ตั้งแต่เรื่องเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
ในส่วนของเกมลูกหนังบนสนามเพียวๆ นับเป็นเวลานานกว่า 60 ปีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แมนฯ ยูไนเต็ด ขับเคี่ยวกับ ลิเวอร์พูล มาตลอด แม้จะมี อาร์เซน่อล, ลีดส์ หรือ เชลซี โผล่มาร่วมแจมบ้าง แต่ก็เป็นเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว
สงครามแข้งสุดคลาสสิคของอังกฤษจริงๆ ต้องเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล เท่านั้น
หลังปิดฉากซีซั่นด้วยอันดับสองสามปี ในที่สุด บัสบี้ ก็พา “ปีศาจแดง” ผงาดคว้าแชมป์ลีกปี 1952 พร้อมกับแนะนำให้โลกรู้จักขุนพลชุด “บัสบี้ เบ๊บส์” ขณะที่ ลิเวอร์พูล ต้องพบกับความขมขื่นเมื่อมีอันตกชั้นสู่ดิวิชั่นสองในปี 1954
ภายหลังจาก ยูไนเต็ด ประสบโศกนาฏกรรมเครื่องบินตกที่ มิวนิค ในปี 1958 บัสบี้ ก็เริ่มสร้างทีมชุดใหม่ที่ครองความยิ่งใหญ่ในระดับทวีป และประเทศในเวลาต่อมา จนทำให้ชื่อ ลิเวอร์พูล หายไปจากแผนที่ลูกหนังพักเล็กๆ
ชาว “ลิเวอร์พัดเลี่ยน” อาจปราชัยบนเส้นทางลูกหนัง แต่กลับไปได้สวยบนบรรทัดตัวโน๊ตเมื่อวงดนตรี “เดอะ บีทเทิ่ลส์” ครองความยิ่งใหญ่ในโลกดนตรีด้วยอัลบั้ม “พลีส พลีส มี”
ฝูง “แมนคูเนี่ยน” เริ่มนอนไม่หลับเมื่อ บิล แชงค์ลี่ นำ ลิเวอร์พูล กลับสู่ดิวิชั่นหนึ่งอีกครั้งในปี 1962 ก่อนคว้าแชมป์ลีกในปี 1964 และ 1966 รวมถึง เอฟเอ คัพ ในปี 1965
ขณะที่ ยูไนเต็ด พยายามโต้ตอบด้วยแชมป์ลีกในปี 1965 และ 1967 รวมถึง เอฟเอ คัพ ในปี 1963
แชมป์ลีกปี 1967 เป็นสัญญาณแห่งยุคทองของ ยูไนเต็ด ในช่วงทศวรรตที่ 60 เมื่ออีกแค่ปีเดียวถัดมา บัสบี้ พา “เร้ด อาร์มี่” ครองแชมป์ยุโรปด้วยการขย่ม เบนฟิก้า โดยขุนพลที่ชวนให้ตาลุกอย่าง 3 หทารเสือ จอร์จ เบสต์, บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน และ เดนิส ลอว์
ลิเวอร์พูล ที่แอบชำเลืองด้วยขอบตาร้อนผะผ่าว ตั้งความหวังไว้กับพวก เอียน เซนต์ จอห์น, โรเจอร์ ฮันท์ และ เอียน คัลลาแฮน
กระทั่งอีกสองทศวรรษให้หลัง ก็เป็นเวลาของ ลิเวอร์พูล บ้าง หลัง เซอร์ แม็ตต์ บัสบี้ ประกาศอำลาวงการ จน ยูไนเต็ด ตกต่ำถึงขนาดต้องลงไปเวียนว่ายในดิวิชั่นสองในยุคนายใหญ่ ทอมมี่ ด็อคเฮอร์ตี้ ผู้ล่วงลับ
แชงค์ลี่ พา “หงส์แดง” สยายปีกด้วยการคว้าทั้ง ยูฟ่า คัพ ปี 1973 และ เอฟเอ คัพ ปี 1974 ก่อนลงจากบัลลังก์ เปิดทางให้ บ๊อบ เพสลี่ย์ ขึ้นเป็นใหญ่แทน
“เดอะ ค็อป” อาจไม่ได้ตั้งความหวังกับ เพสลี่ย์ มาก แต่พวกเขากลับประสบความสำเร็จอย่างเพียบแปล้เมื่อได้ทั้งแชมป์ลีก และ ยูฟ่า คัพ แบบดับเบิ้ลในปี 1967 ก่อนที่ปีต่อมา จะได้เป็นแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ครั้งแรก แถมยังป้องกันแชมป์ลีกได้อีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม ความฝันในการทำทริปเปิ้ลแชมป์ของ ลิเวอร์พูล ต้องพังทลาย ด้วยน้ำมืออริตัวแสบอย่าง ยูไนเต็ด ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ปี 1977
ลิเวอร์พูล กระชากแชมป์ยุโรปมาครองอีกครั้งในปีถัดมาที่เมืองบรูช ต่อด้วยแชมป์ยุโรปหนที่สามในปี 1981 หลังเอาชนะ เรอัล มาดริด ขณะที่ เพสลี่ย์ พาทีมเป็นแชมป์ลีกอีกสองสมัยในสองปีสุดท้ายที่ แอนฟิลด์
โจ เฟแกน เข้ามาสานงานต่อด้วยการพา ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีก และ ยูโรเปี้ยน คัพ ในปี 1983-84
ปี 1985 “หงส์แดง” พ่ายต่อ ยูเวนตุส ในโศกนาฏกรรม ณ เฮย์เซล สเตเดี้ยม จนทำให้สโมสรจากเกาะอังกฤษ ต้องถูกแบนจากการร่วมสังฆกรรมในถ้วยยุโรป
“เร้ด เดวิลส์” หวุดหวิดจะเข้าป้ายแชมป์ลีกในปี 1986 แต่กลับโดน ลิเวอร์พูล ปาดหน้าคว้าไปครองอย่างเจ็บแสบ ก่อนที่ฤดูกาลต่อมา “ป๋ารอน” จะโดนตะเพิดในที่สุด
อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บุรุษจากที่ราบสูง เดินทางถึง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1986 ก่อนปลุก “ปีศาจแดง” ให้คืนชีพอย่างน่ากลัว แม้เริ่มต้นด้วยมือเปล่าในสามฤดูกาลแรก ก่อนคว้า เอฟเอ คัพ ในปี 1990
ชัยชนะครั้งต่อมาคือการโค่น บาร์เซโลน่า จนได้แชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ลีกเป็นครั้งสุดท้ายในปี 1990 ก่อนที่ ดัลกลิช จะลุกจากเก้าอี้ในปีต่อมา
“ปีศาจแดง” คว้าแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษมาครองได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1967 ก่อนที่ “เฟอร์กี้” จะทำได้รวมทั้งหมดถึง 13 ครั้งในเวลาต่อมา
ยูไนเต็ด ภายใต้การนำของ เฟอร์กูสัน ยังเป็นแชมป์ เอฟเอ คัพ ถึงห้าสมัย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเฉือน ลิเวอร์พูล 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศเมื่อปี 1996
แชมป์ยุโรปหนแรกของ “เฟอร์กี้” คือการสอยมันมาได้พร้อมกับแชมป์ลีก และ เอฟเอ คัพ จนถูกบันทึกชื่อว่าเป็น “ทริปเปิ้ลแชมป์” ในปี 1999
ด้าน ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ ยูฟ่า คัพ, ลีก คัพ และ ซูเปอร์ คัพ จากการทำงานของ รอย อีแวนส์ และ เชราร์ อุลลิเย่ร์ ผู้ล่วงลับ
“สเก๊าเซอร์ส” ตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของ “แม็งค์ส” อีกครั้ง
ราฟาเอล เบนิเตซ พยายามปั้นให้ ลิเวอร์พูล ติดปีกอีกครั้ง หลังคว้าแชมป์ยุโรปมาครองได้เมื่อปี 2005 แต่ก็ยังไม่สำเร็จ
ขณะที่ ยูไนเต็ด เพิ่มดีกรีให้ตัวเองด้วยแชมป์ยุโรปปี 2008
“เฟอร์กี้” นำทัพ “เร้ด อาร์มี่” ทุบสถิติคว้าแชมป์ลีกของ ลิเวอร์พูล (18) ได้สำเร็จ ก่อนอำลาเก้าอี้ในปี 2013 พร้อมกับที่ ยูไนเต็ด ถูกจารึกชื่อในฐานะทีมที่คว้าแชมป์ลีกอังกฤษมากสุด 20 สมัย
กระทั่งการเข้ามาของเทรนเนอร์บ้าบอลจากเมืองเบียร์นาม เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ทำให้ฝั่ง “เร้ด แมชีน” กลับมาคึกคักอีกครั้ง
กุนซือชาวเยอรมัน ทำให้ “หงส์แดง” ติดปีก กลายเป็นยอดทีมแห่งยุโรปเมื่อประกาศศักดาคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2018-19 ต่อด้วย ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ก่อนที่จะทำให้ “เดอะ ค็อป” สิ้นสุดการรอคอยแชมป์ลีกอันเนิ่นนานกว่า 30 ปีได้สำเร็จเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
ลิเวอร์พูล เพิ่มสถิติแชมป์ลีกสูงสุดเป็นสมัย 19 ตามจี้คอหอย “ปีศาจแดง” มาติดๆ
มาถึงซีซั่นนี้ ยูไนเต็ด ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก้าวขึ้นมาประกาศตัวเป็นผู้ท้าชิงบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นหนแรกในรอบหลายปี นับตั้งแต่การอำลาเก้าอี้ไปของ เฟอร์กูสัน หลังจากที่นำทัพ “เร้ด เดวิลส์” ซิวชัยถึงเก้าจาก 11 นัดหลัง กระทั่งไต่จากอันดับ 15 เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว สู่อันดับท็อปของตารางในห้วงเวลาเพียงสองเดือน
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคมนี้ “ปีศาจแดง” ในฐานะจ่าฝูง จะยกพลไปเยือน เมอร์ซี่ย์ไซด์ ของแชมป์เก่า
ครั้งล่าสุดที่คุณเห็นการโรมรันของอริคู่นี้ในฐานะทีมอันดับหนึ่ง และอันดับสองขอตารางลีกสูงสุด ต้องย้อนกลับไปถึงเดือนเมษายนปี 1997 โน่นทีเดียว เมื่อ “ปีศาจแดง” บุกไปปักธงชัยที่ แอนฟิลด์ 3-1 ก่อนทะยานขึ้นไปเถลิงบัลลังก์แชมป์ได้สำเร็จ
สองทีมนี้ แย่งชิงความยิ่งใหญ่กันมาเนิ่นนาน นานจนความเกลียดชัง อิจฉาริษยา สีสันแสบทรวงต่างๆ ถูกฝังอยู่ในสายเลือดของกองเชียร์ทั้งสองฝ่าย
ศึกแดงเดือดที่ แอนฟิลด์ ในวันอาทิตย์นี้ ก็คงไม่มีบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกถึงความเป็นมิตรแน่นอน แม้จะไม่มีเหล่าแฟนบอลเข้าสนามมาเติมความระอุก็ตาม
ศึกปฐพีเดือดลิเวอร์พูล-แมนยู รอบนี้การันตีบู๊ระห่ำสุดรอบหลายปี