4เหตุผล ที่ แมนเซสเตอร์ยูไนเต็ด ไม่เคยแพ้กว่า 3ปี ในแอนฟิลด์
ศึกเกม “แดงเดือด” ที่สนามแอนฟิลด์ ใน วันอาทิตย์ ที่ 17 มกราคม 2564 นี้ เป็นอะไรที่เต็มไปด้วยความเข้มข้นน่าตื้นเต้น และเร้าใจ เพราะผลงานของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ดูเหมือนสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง และไม่แน่ว่า “ปีศาจแดง” อาจจะเป็นทีมแรกในรอบกว่า 3 ปี ที่สามารถบุกมาคว้า 3 คะแนนที่นี่ได้
ยังมีเหตุผลสำคัญ ที่หลายคนพูดถึงว่าทีม แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด เหนือกว่าคู่อริร่วมชาติ อย่าง ลิเวอร์พูล ก็คือ ฟอร์มการเล่นในช่วงหลาย ๆ สัปดาห์ที่ผ่านมา “เร้ด เดวิลส์” มีเกมบุกที่ดุเด็ด ส่วนเกมรับก็ตามมาตรฐานไม่ได้เหนียวแน่น แต่ก็ไม่ทำให้เสียประตูง่าย ๆ โดยเฉพาะการมี ดาบิด เด เคอา ยืนเฝ้าเสา
ในขณะที่เกมรับของ “ลิเวอร์พูล” ตอนนี้ถ้าพูดถึงแล้ว จัดว่าค่อนข้างย่ำแย่ ถึงจะเสียประตูน้อย แต่การเสียประตูส่วนใหญ่ก็ส่งผลให้ทีมทำแต้มหลุดมือไปหลายเกม ที่สำคัญเกมรุกที่ว่าโหดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เวลานี้กลับฝืดเคืองอย่างสุด ๆ
เกมลีกยิงได้แค่ 1 ลูกจาก 3 แมตช์หลังสุด ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ขณะที่ แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด มีเกมบุกที่ค่อนข้างดูเดือด ยังสร้างโอกาสให้แฟนสาวกได้หวาดเสียวอยู่ตลอด ดังนั้นต้องยอมรับด้วยสถานการณ์ฟอร์มที่ดีของเจ้าบ้าน จึงเป็นโอกาสทองที่ “แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด” จะบุกมาทำลายสถิติไม่เคยแพ้ของ ลิเวอร์พูล จริง ๆ
1. เกมรับที่แสนจะอ่อนแอ
ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องใช้งานนักเตะในตำแหน่งมิดฟิลด์อย่าง ฟาบินโญ่ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (บางเกม) ลงมาทำหน้าที่เป็นเซนเตอร์แบ็ก เนื่องจากตัวหลัก ยังคงมีอาการบาดเจ็บ อีกนานหลายเดือน
เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กับ โจ โกเมซ ต้องใช้เวลาอยู่กับการรักษาการบาดเจ็บและโรงยิมมากกว่าในสนามซ้อม ขณะที่ โฌเอล มาติป ก็พึ่งพาไม่ค่อยได้เพราะสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ ซึ่งก็แสดงให้เห็นอยู่บ่อยๆ ในฤดูกาลนี้
ยิ่งไปกว่านั้นกองหลังตัวเลือกแรกของทีม ก็กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มตกอย่างหนักหน่วง นั่นก็คือ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โดยแบ็กขวาเลือดผู้ดีมีส่วนต้องรับผิดชอบเต็ม ๆ จากการกะจังหวะผิดพลาดจนเป็นเหตุให้ แดนนี่ อิงส์ ได้ยิงประตูขึ้นนำ 1-0 ตั้งแต่เกมแรก และยังเป็นประตูชัยของ เซาธ์แฮมป์ตัน ซะด้วย
จังหวะนั้นไม่ใช่ครั้งแรกที่ “เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ” ทำผิดพลาดในฤดูกาลนี้ ยังไม่หมดแค่นั้นประสิทธิภาพในเกมรุก ที่เคยน่ากลัวของเขาก็ขาดหายไป ในขณะที่เกมรับก็เล่นไม่ค่อยแน่นอน ฉะนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะโดน มาร์คัส แรชฟอร์ด ซึ่งซัดไป 3 ประตูจาก 4 เกมหลังสุดที่เล่นเกม “แดงเดือด” ที่มีทั้งความเร็ว และความคล่องแคล่ว ว่องไว เป็นตัวทดสอบแน่นอน
2. เกมรุกขาดความมั่นใจ
“เดอะ เร้ดส์” ฟอร์มตกทำผลงานได้น่าผิดหวังมาก ๆ ในการยิงประตูจากการลงสนาม 3 เกม พรีเมียร์ลีก ติดต่อกันซึ่งจัดว่าย่ำแย่ที่สุด นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2005 ซึ่งต้องยอมรับว่านี่คือวิกฤติในแดนหน้าของ ลิเวอร์พูล จริง ๆ
นับตั้งแต่ที่ ดีโอโก้ โชต้า ได้รับบาดเจ็บ ในเกมเยือน มิดทิลแลนด์ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นั่นทำให้ “ลิเวอร์พูล” มีตัวเลือกในเกมรุก เพียงแค่ 3 คน “หิน เหล็ก ไฟ” ซาดิโอ มาเน่ , โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เท่านั้น ส่วน ทาคุมิ มินามิโนะ กับ ดิว็อค โอริกี้ ยังคงใช้งานไม่ได้
แนวรุก “เอสเอ็มเอฟ” (SMF) ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในเกมที่ไล่ต้อน “ดิ อีเกิ้ลส์” คริสตัล พาเลซ 7-0 ที่สนามเซลเฮิร์สท์ พาร์ค ก่อนที่จะถึงช่วงคริสต์มาส และหลังจากนั้นทุกอย่างก็ดูเหมือนจะพลิกไปหมด กลายเป็นว่าพวกเขาแทบจะไม่สามารถช่วยยิงประตูได้เลย
เหตุผลที่จะนำมาใช้อ้างได้ในเวลานี้ก็คือ ลิเวอร์พูล เจอโปรแกรมติดต่อกันและ คล็อปป์ ไม่มีตัวเลือกในเกมรุกมากนัก จึงต้องส่ง 3 คนนี้ ลงสนามอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจบเกมเอฟเอ คัพ ทั้ง มาเน่, ซาลาห์ และ ฟีร์มีโน่ มีเวลาพักฟื้นร่างกายมากกว่านักเตะของ “ป๊ศาจแดง” ซึ่งเพิ่งลงสนามในเกมตกค้างเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ฉะนั้น คล็อปป์ คงคาดหวังว่าพวกเขาน่าจะมีสภาพร่างกายที่ฟิตสมบูรณ์ และสามารถกลับมาเรียกฟอร์มเก่งในแมตช์สำคัญนี้ แต่ถ้าเขาทำไม่ได้ บทสรุปสุดท้ายคงรู้ว่า “แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด” คงจะชนะอีกตามเคย
3. สนามแอนฟิลด์ แต่ “แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด” ตัวพ่อทีมเยือน
เมื่อวันสถิติแบบ เฮด-ทู-เฮด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจจะเป็นรอง เพราะ ลิเวอร์พูล มักจะทำผลงานได้ดีกว่าเวลาที่ต้องลงสนามทำศึก “แดงเดือด” แต่ในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ของทีม “ลิเวอร์พูล” นั้นไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม ปีศาจแดง ชาวนอร์เวย์ ทำได้เพียงแค่เสมอกับแพ้ในการปะทะกับ “ลิเวอร์พูล” โดย 2 ครั้งก่อนหน้านี้ที่มาเยือนถิ่นแอนฟิลด์ บทสรุปจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เมื่อเช็คสถิติในการเล่นเกมเยือนของ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ในฤดูกาลนี้ต้องบอกเลยว่าน่ากลัวแบบสุด ๆ เพระาพวกเขาสามารถเก็บได้ถึง 22 คะแนนจาก 24 แต้ม คว้าชัยชนะ 7 จาก 8 เกมเยือน รวมไปถึงบุกเสมอ “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ ซิตี้
บททดสอบสำคัญในการเล่นนอกบ้านของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คือการบุกมายังรังที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังของคู่อริร่วมชาติ ซึ่งมีสถิติที่โคตรสยดสยองนั่นก็คือการที่ไม่แพ้ทีมไหนเลยนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2017
ถ้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกมาหยุดสถิติไร้พ่ายในแอนฟิลด์ ได้สำเร็จ คงต้องยกย่องแล้วว่าพวกเขาคือเจ้าพ่อทีมเยือน และไม่มีทีมไหนเจ๋งกว่า “เร้ด เดวิลส์” อีกแล้ว
4. ความเชื่อมั่นที่ต้องการประสบความสำเร็จ
หลังจากที่ต้องเป็นลำดับล่างให้กับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล มานานหลายปี ตอนนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นโอกาสดีมาก ๆ ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะกลับมาผงาดครองแชมป์ลีกอีกครั้งในฤดูกาลนี้
นักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งตัวจริงและตัวสำรองกำลังมีแรงกายแรงใจกันแบบสุด ๆ ยิ่งตอนนี้พวกเขาแซง ลิเวอร์พูล ขึ้นตั้งรั้ง จ่าฝูงพร้อมมีแต้มเหนือกว่า 3 คะแนน ทำให้เกมบุกแอนฟิลด์ สุดสัปดาห์นี้มีความสำคัญมาก ๆ กับทั้ง 2 ทีม
หาก “ปีศาจแดง” คว้าชัยชนะกลับบ้านได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะทิ้งห่าง ลิเวอร์พูล 6 คะแนนโอกาสที่จะได้เห็นโทรฟี่พรีเมียร์ลีก กลับไปประทับที่ตู้โชว์ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เริ่มสดใส หลังห่างหายไปนานนับตั้งแต่ที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นำทีมคว้าแชมป์ส่งท้ายก่อนเกษียณตัวเองในปี 2013
ในขณะเดียวกันหากแชมป์เก่าสกัดทีมเยือนได้ก็จะมีแต้มเท่ากัน แต่ผลต่างประตูได้เสีย “ลิเวอร์พูล” ยังคงเหนือกว่าและได้คืนสู่บัลลังก์จ่าฝูงอีกครั้งแน่นอน แถมยังเป็นการเรียกความมั่นใจของทีมกลับคืนมา
แต่หากทั้ง 2 ทีมทำได้เพียงแค่เสมอกัน ระวังตัวเอาไว้ให้ดี ๆ เพราะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กำลังคืบคลานมาอย่างช้า ๆ ที่สำคัญยังนักเตะยังน้อยกว่าทั้ง 2 ทีม