ตอกย้ำภาพศึกแดงเดือด ย้อนเหตุการณ์สำคัญ ลิเวอร์พูล-แมนยูฯ หลังปี 2000

ตอกย้ำภาพศึกแดงเดือด ย้อนเหตุการณ์สำคัญ ลิเวอร์พูล-แมนยูฯ หลังปี 2000

 

ตอกย้ำภาพศึกแดงเดือด ย้อนเหตุการณ์สำคัญ ลิเวอร์พูล-แมนยูฯ หลังปี 2000

 

 

 

เมื่อ ลิเวอร์พูล ปะทะ แมนยูฯ ย่อมการันตีถึงความดุเด็ดเผ็ดมันกับ “ศึกแดงเดือด” วันนี้จะขอพาไป ย้อนดูเหตุการณ์สำคัญ ก่อนที่ทั้งคู่จะ เปิด ศึกชิงจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก

วันอาทิตย์ ที่17 มกราคม 2564 คือวันที่ศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างศัตรูคู่อริตลอดกาลของวงการ ฟุตบอลอังกฤษ อย่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเป็นการพบกันที่มีความหมายมากกว่า “ศึกแดงเดือด” หลายครั้งที่ผ่านมา เพราะนี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2008-2009 ที่ทั้งคู่ได้โคจรมาพบกัน เพื่อชี้ชะตา และโอกาสในการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก

ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าทั้งคู่จะมีอันดับบนตารางแตกต่างกันแค่ไหน แต่เมื่อเจอกันทีไรก็จะเป็นเกมที่ต้องพบกับความสนุกสนุก ความตื่นเต้น และความเร้าใจ ใส่กันไม่ยั้งแทบจะทุกครั้ง ด้วยบรรยากาศอันเคร่งเครียดในการแข่งขัน และความเร้าร้อนของเกมที่เต็มไปด้วยความดุเดือดแบบสุด ๆ ได้นำไปสู่เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีหลากหลายอารมณ์ และยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเหล่าแฟนบอล โดยเฉพาะสาวก “หงส์แดง” และ “ปิศาจแดง”

นี่คือเหตุการณ์บางส่วน บางตอน ที่ถูกจารึกไว้ในเกมแดงเดือดฉบับ พรีเมียร์ลีก ยุคมิลเลนเนียม นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา

1.  “ดิเอโก ฟอร์ลัน” เหมายิงบอล ชนะลิเวอร์พูล

แม้ ดิเอโก ฟอร์ลัน จะเริ่มต้นได้อย่างทุลักทุเลในการค้าแข้งบนเวที พรีเมียร์ลีก  อังกฤษ จนกลายเป็นตัวตลกในสายตาแฟนบอลทีมอื่น ๆ แต่เหตุการณ์ที่แอนฟิลด์ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ปี 2002 ทำให้ศูนย์หน้าชาวอุรุกวัยกลายเป็นที่จดจำของกองเชียร์ แมนยูเซสเตอร์ ยูไนเต็ด จากการเหมายิงบอลคนเดียวถึง 2 ลูกภายในเวลาไม่ถึง 3 นาที ทำให้บุกไปชนะ ลิเวอร์พูล ถึงถิ่นแบบเจ็บแสบ 2-1

เกมในวันนั้นเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ ในนาทีที่ 65 เมื่อ เจอร์ซี ดูเด็ค ผู้รักษาประตู “ลิเวอร์พูล” ดันมา “ซองแตก” จากการรับลูกโหม่งคืนหลังของ เจมี คาร์ราเกอร์ หลุดมือ แล้วลอดตัวออกมาชนิดที่ไม่มีใครคาดคิด มีเพียง ดิเอโก ฟอร์ลัน ที่ยังตาไว วิ่งปรี่เข้าไปเก็บทำประตูจากนายทวารชาวโปแลนด์แล้วสำเร็จโทษ กลายเป็น 1 ในความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์ของศึก พรีเมียร์ลีก โดยปริยายไปเลย

2. “แกรี” ระเบิดอารมณ์ ต่อหน้าสาวกทีมคู่อริ 

ศึกแดงเดือด ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อวันที่ 22 มกราคม ปี 2006 จบลงด้วยชัยชนะแบบเฉียดฉิวด้วยคะแนน 1-0 ของ “แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด” จากการทำประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่ทะยานขึ้นโขกลูกฟรีคิกเข้าไปอย่างเด็ดขาด

แต่สุดท้ายกลับกลายเป็น แกรี เนวิลล์ ซึ่งยืนคอยเสียบอยู่ในแดนหลัง เพื่อรอเล่นเกมรับในจังหวะที่เพื่อน ๆ ดันกันขึ้นไปลุ้นพังประตู มาขโมยซีนจนหมดสิ้น ด้วยการวิ่งไประเบิดอารมณ์ แบบสะใจแบบต่อหน้าแฟนบอล ลิเวอร์พูล ที่ตามมาเชียร์ทีมรัก และผลที่ตามมาก็คือ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ได้ลงโทษปรับเงิน 5,000 ปอนด์ (205,000 บาท) โทษฐานแสดงพฤติกรรมที่ทำร้ายจิตใจกองเชียร์ทีมคู่อริ

3. “ปิศาจแดง” เหลือนักเตะ 10 คน แต่สามารถนำชัยชนะมาได้

เมื่อ วันที่ 3 มีนาคม ปี 2007 แมนยูเซสเตอร์ ยูไนเต็ด  ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ให้กับทีมคู่อริอย่าง ลิเวอร์พูล แบบสุดๆ เพราะไหนจะเสีย เวย์น รูนีย์ กองหน้าตัวเก่งที่บาดเจ็บจนต้องเปลี่ยนตัวออก และไหนจะเสีย พอล สโคลส์ ห้องเครื่องคนสำคัญที่โดนใบแดงไล่ออกจากการฟิวส์ขาดไปเล่นนอกเกมใส่ ชาบี อลอนโซ จนทำให้เหลือทีมนักเตะเหลือแค่ 10 คน

แต่แล้วในช่วงทดเจ็บ จอห์น โอเช ที่ลงมาแทน รูนีย์ ก็เปรียบเสมือนอัศวินขี่ม้าขาว เมื่อเขาเป็นคนทำประตูประตู คว้าชัยชนะ จากการตามซ้ำฟรีคิกของ คริสเตียโน โรนัลโด ที่ เปเป เรนา ปัดออกมาเข้าทางไม่เหลือซาก คว้า 3 แต้ม กลับบ้าน สร้างความเจ็บใจต่อ “ลิเวอร์พูล” ที่เล่นอยู่นานอยู่นาน แต่ปิดบัญชีไม่ได้

4. รอยจูบ “สตีวีจี” ในวันเอาคืน “ปีศาจแดง” 

หลังที่ลิเวอร์พูลแพ้ ให้กับ ปีศาจแดง มาหลายครั้ง ในที่สุดก็ถึงวันของ ลิเวอร์พูล บ้าง เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ปี 2009 ลูกทีมของ ราฟา เบนิเตซ ที่เข้าใกล้กับการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมากที่สุด นับตั้งแต่ได้แชมป์ดิวิชั่น 1 เมื่อฤดูกาล 1989-1990 (ก่อนทำสำเร็จในยุคของ เยอร์เกน คลอปป์) ได้บุกสร้างความปราชัยให้กับลูกทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อย่างหมดสภาพ

แมตช์นั้นไม่เพียงแต่จะเป็นชัยชนะที่สมบูรณ์แบบของ “ลิเวอร์พูล” ทั้งการเล่นเกมพลิกจากการตามหลัง กลับมาแซงคว้าชัยด้วยสกอร์ที่ห่างถึง 4-1 และการเหลือนักเตะเพียง 10 คนของ “ปิศาจแดง” จากการสังเวยใบแดงโดย เนมันยา วิดิช แล้ว ยังมีชอตในตำนานที่อาจเป็นภาพบาดตาของสาวก ปีศาจแดง

จังหวะขึ้นนำ 2-1 สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่เพิ่งสังหารจุดโทษเป็นประตูได้วิ่งตรงไปยังบริเวณมุมธง ก่อนบรรจงประทับรอยจูบใส่กล้องถ่ายทอดสดตัวหนึ่ง กลายเป็นภาพสุดคลาสสิกตลอดกาลภาพหนึ่งของ ศึกแดงเดือด

5. “วิดิช” วอดวาย กับฝันร้ายใบแดง 3 ครั้งติด

เกมดังกล่าวจุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ประตูตีเสมอ 1-1 ของ ลิเวอร์พูล ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของ วิดิช ที่ได้ประมาทเกินไป ด้วยการปล่อยบอลให้ตกพื้น เปิดโอกาสให้ เฟร์นานโด ตอร์เรส ชิงจังหวะแย่งบอลจากด้านหลังเข้าไปยิงผ่านมือ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ บอลเข้าตาข่าย

จากนั้นปราการหลังชาวเซอร์เบียก็ยังมาถูกใบแดงไล่ออกจากสนามอีก ก่อนจะเสียผู้เสียคนแทบทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับดาวยิงสัญชาติสเปน ซึ่ง วิดิช ก็มีสถิติไม่น่าจดจำเมื่อต้องโดนใบแดงในเกมแดงเดือดถึง 3 ครั้งติดต่อกัน ระหว่างเดือนกันยายน ปี 2008 ถึงเดือนตุลาคม ปี 2009 ก่อนตอกย้ำฝันร้ายด้วยการถูกไล่ออกครั้งที่ 4 ในปี 2014 ซึ่ง “ปิศาจแดง” พ่ายแพ้ “หงส์แดง” คาบ้านถึง 0-3

6. ปม “ซัวเรซ” เหยียดสีผิว “เอฟรา” สู่การผลัดกันเอาคืนในสนาม

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ปี 2011 ผลการแข่งขันที่เสมอกัน 1-1 ถูกกลบด้วยความบาดหมางระหว่าง หลุยส์ ซัวเรซ ดาวยิงทีม ลิเวอร์พูล กับ ปาทริซ เอฟรา แบ็กซ้าย แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด  ซึ่งฝ่ายหลังเป็นคนกล่าวหาว่าถูกทำร้ายจิตใจด้วยคำพูดเชิงเหยียดสีผิว ส่งผลให้ เอฟเอ ลงโทษสถานหนักด้วยการแบนฝ่ายแรกนานถึง 8 นัด

หลังจาก ซัวเรซ พ้นโทษแบน ทั้งคู่ก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี 2012 แต่ดูเหมือนหัวหอก “ลิเวอร์พูล” จะยังแค้นฝังหุ่น เนื่องจากเขายืนยันว่าไม่ได้เหยียดผิวในครั้งนั้น จึงปฏิเสธการจับมือกับ เอฟรา ก่อนลงสนาม 

เมื่อเข้าสู่เกมการแข่งขัน ทุกครั้งที่เผชิญหน้าจะต้องมีจังหวะเข้าปะทะกันแบบถึงลูกถึงคน รวมถึงการแสดงออกที่พยายามป่วนประสาทอีกฝ่าย แต่ทั้งคู่ก็ยังอยู่ในสนามจนครบ 90 นาที

อย่างไรก็ตาม แม้เกมจะจบด้วยชัยชนะ 2-1 ของ  “แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด” แต่คนยังไม่จบ เมื่อ เอฟรา มุ่งตรงไปดีใจกับแฟนบอลทีมตัวเองด้วยการวิ่งตัดหน้า ซัวเรซ ราวกับจงใจ จนเกือบเป็นชนวนเหตุให้ทั้ง 2 ทีมวางมวย แต่โชคดีที่ยังห้ามทัพกันได้ทัน

7. ศึกแดงเดือดครั้งสุดท้ายของ “เจอร์ราร์ด” พ่ายแพ่เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ

ฤดูกาล 2014-2015 ถือเป็นซีซั่นสุดท้ายในสีเสื้อลิเวอร์พูลของ สตีเวน เจอร์ราร์ด วันที่ 22 มีนาคม ปี 2015 จึงเป็นศึกแดงเดือดครั้งสุดท้ายของเขา แต่กลับกลายเป็นวันที่ไม่น่าจดจำเอาเสียเลย

“สตีวีจี” ลงมาเป็นตัวสำรองแทน อดัม ลัลลานา ก่อนเริ่มครึ่งหลัง แต่เขามีเวลาอยู่ในสนามแอนฟิลด์เพียง 38 วินาทีเท่านั้น หลังถูกผู้ตัดสิน มาร์ติน แอตกินสัน ควักใบแดงไล่ออกแบบไม่ลังเล ข้อหาไปย่ำ อันเดร์ เอร์เรรา ในจังหวะปะทะหนัก

ถัดมาอีก 13 นาที ฆวน มาตา ที่ยิงให้ “แมนยู” นำก่อน 1-0 ในครึ่งแรกก็กลายเป็นพระเอกตัวจริงของเกมนี้ เมื่อจัดการทำประตูที่สวยที่สุด ลูกหนึ่งของศึกแดงเดือดด้วยการกระโดดลอยตัววอลเลย์ส่งบอลเสียบเสาสองเข้าไปอย่างงดงาม เป็นประตูชัยให้ทีมเยือนบุกมาชนะ 2-1 พร้อมกับตอกย้ำรอยแผลในใจให้ เจอร์ราร์ด ที่ก่อความผิดพลาดเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ

ตอกย้ำภาพศึกแดงเดือด ย้อนเหตุการณ์สำคัญ ลิเวอร์พูล-แมนยูฯ หลังปี 2000
 แทงบอลออนไลน์ 

สมัครสมาชิกคลิ๊ก