เจาะ5ประเด็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ วัตฟอร์ด ในเกมเอฟเอคัพ
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เรียกสติลูกทีมกลับมาโชว์ฟอร์ม ด้วยการเปิดบ้านเฉือน วัตฟอร์ด 1-0 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในศึก เอฟเอ คัพ รอบ 3 เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา หลังจากที่พวกเขาเพิ่งเจ็บใจ จากการตกรอบตัดเชือก เกม คาราบาว คัพ ด้วยน้ำมือของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
แม้ว่าเกมนี้ “แมนยู” จะจัดผู้เล่นชุดสำรอง ลงสนามก็ตาม แต่พวกเขายังคงทำผลงานได้ดี โดยได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่ช่วงต้นเกมจากการโหม่งของ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ หลังจากนั้นแม้ แมนยูฯ ยิงประตูเพิ่มไม่ได้ แต่พวกเขายังคงเล่นได้ดี และสามารถประคับประคองสกอร์จนนาทีสุดท้าย จนคว้าชัยชนะไปได้สำเร็จ
เจาะ5ประเด็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ วัตฟอร์ด ในเกมเอฟเอคัพ
1. ให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งจากศูนย์เยาวชน
การให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งจากศูนย์เยาวชนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นวัฒนธรรมที่สืบสานต่อกันมาหลายช่วงทศวรรษ และในยุคที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้จัดการทีม เขาก็ยังคงยึดมั่นแนวทางแบบนี้ไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อให้ “แมนยู” มีสายเลือดใหม่ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมในอนาคต
สำหรับเกม “น้าลูกอม” จัดการส่งผู้เล่น โฮมโกรว์น หรือนักเตะที่มาจาก อะคาเดมี่ ของทีม โดยตรง จัดให้ลงสนามตั้งแต่ต้นเกม และบางคนได้เล่นจนจบเกม ถึง 6 คนเลยทีเดียว โดยทั้งหมดนี้ไม่นับรวม มาร์คัส แรชฟอร์ด หรือ ปอล ป็อกบา
11 ตัวจริงของ “แมนยู” มีนักเตะโฮมโกรว์น ได้แก่ ดีน เฮนเดอร์สัน, เบรนดอน วิลเลี่ยมส์, อั๊กเซล ตวนเซเบ้, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, เจสซี่ ลินการ์ด และ เมสัน กรีนวู้ด โดยทั้งหมดนี้ต้องยกเครดิต ให้กับบรรดาโค้ชทุกคนจาก อะคาเดมี่ ที่ได้ปลุกปั้นนักเตะเยาวชนเหล่านี้จนก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่
เฮนเดอร์สัน แม้จะไม่ค่อยได้ออกสเต็ปอะไรมากนักในเกมนี้ แต่เขาก็มีช็อตเด็ดที่โชว์เซฟสำคัญ 2 ครั้ง และในเกมนี้เจ้าตัวก็ไม่ทำอะไรผิดพลาดเลย และที่สำคัญ เขาไม่มีอาการกลัวให้เห็นเลย ขณะที่ กรีนวู้ด แม้จะไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่สุดยอด แต่ก็ทำได้ดีในการเล่นเป็นแนวรุกริมเส้นมากกว่ายืนเป็นหน้าเป้า
ด้าน วิลเลี่ยมส์ กับ ลินการ์ด แม้ว่าผลงานไม่โดดเด่นอะไรมากนัก แต่พวกเขาก็ไม่ได้เล่นเสียหายอะไร ส่วน แม็คโทมิเนย์ ต้องบอกว่ายิ่งเล่นยิ่งพัฒนา แถมมีความเป็นผู้นำสูง และยังทำประตูสำคัญได้ตั้งแต่ต้นเกม ส่วน ตวนเซเบ้ มีเกมรับที่เหนียวแน่น และน่าจะพัฒนามากยิ่งขึ้นในอนาคตด้วย
2. เตลลิส ฟอร์มสุดยอดแบบสุด ๆ
แมนยูฯ ไม่ค่อยมีทีเด็ดมากนัก ในจังหวะการเล่นลูกเตะมุม แต่เกมกับ วัตฟอร์ด ทำให้สาวก “เร้ด อาร์มี่” รู้สึกตื่นเต้นแบบสุด ๆ เมื่อได้เห็นลีลาการเปิดบอลของ อเล็กซ์ เตลลิส เพราะต้องบอกว่า ดาวเตะเลือดแซมบ้า มีลูกเตะมุมที่เฉียบคม และอันตรายมาก ๆ
ฟูลแบ็กชาวบราซิเลียน โชว์การจุ๊บบอล ก่อนที่เขาจะจัดการปั่นบอลโค้งอย่างเฉียบคมให้กับ แม็คโทมิเนย์ จัดการโหม่งบอลเช็ดเสาเข้าประตูอย่างสุดยอด และเกือบจะทำได้แบบเดียวกัน เมื่อเปิดบอลโค้งมาเข้าหัว เอริก ไบยี่ ขึ้นโขกแบบไร้ตัวประกบ แต่บอลพลาดพุ่งถากเสาสองออกไปแบบได้อย่างเสียว
สำหรับตอนนี้ต้องยอมรับว่าตำแหน่งแบ็กซ้ายภายในทัพ “ปีศาจแดง” มีการแข่งขันอย่างเข้มข้นเพราะมีทั้ง เตลลิส, ลุค ชอว์ และ เบรนดอน วิลเลี่ยมส์ ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นเรื่องดีสำหรับ โซลชา เพราะทำให้เขามีตัวเลือกที่หลากหลายในจัดทีมเวลาที่เจอกับคู่แข่งในแต่ละรูปแบบ
อย่างไรก็ตามตอนนี้ถ้าลองถามใจสาวก “เร้ด อาร์มี่” แน่นอนว่าพวกเขาอยากเห็น เตลลิส ได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง เพราะลีลาการเตะลูกแข้งของนักเตะคนนี้นั้น จัดว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ โดยเฉพาะความสามารถในการเล่นลูกตั้งเตะ ซึ่งถือว่าจะช่วยให้ทีมได้ประโยชน์อย่างมาก
3. ลุ้น เอริก ไบยี่ ฟิตทันเกม “แดงเดือด”
ด้านนักเตะลูกแข้งอย่าง เอริก ไบยี่ กำลังทำผลงานได้อย่างร้อนแรง โดยเขาโชว์ฟอร์มลูกแข้งได้แข็งแกร่งมาก ๆ นับตั้งแต่ที่หายจากการบาดเจ็บกลับมา โดยเกมนี้ โซลชา เลือกให้เขาได้ลงสนามตัวจริง และเขาก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ทำให้แนวรุกของคู่แข่งอย่างทีม วัตฟอร์ด แทบไม่มีโอกาสเข้ามาสร้างความประตูได้เลย
แนวรับทีมชาติไอวอรี่ โคสต์ จับคู่เซนเตอร์แบ็กร่วมกับ อั๊กเซล ตวนเซเบ้ ได้อย่างลงตัวในเกมนี้ แต่น่าเสียดายที่เขาต้องมาประสบอุบัติเหตุ เมื่อโดน ดีน เฮนเดอร์สัน ชนเข้าอย่างจัง จนเขาร่วงลงไปนอนกับพื้น และส่งผลให้ จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวผู้เล่นใหม่
ด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยมทำให้แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก ว่าเพื่อนร่วมทีมอย่าง ไบยี่ อาจจะต้องพักยาว และมีสิทธิ์ที่จะส่งผลกระทบ กับเกมรับของทีม เพราะในแมตช์ต่อไป “ผีแดง” มีคิวปะทะ เบิร์นลี่ย์ ในเกมลีกนัดตกค้างซึ่งมีความสำคัญมาก ๆ เพราะถ้าพวกเขาไม่แพ้ ก็จะมีโอกาสแซง ลิเวอร์พูล ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงทันที
ยิ่งไปกว่านั้น ในวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พวกเขามีคิวทำศึก “แดงเดือด” ที่สนามแอนฟิลด์ และหวังว่า ไบยี่ จะกลับมาฟิตเหมือนเดิม เพราะฟอร์มของนักเตะในเวลานี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะจับคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ในการคุมเกมรับแมตช์ปะทะ “หงส์แดง”
4. ถึงเวลาที่ ลินการ์ด กลับคืนสู่สังเวียน
การที่ได้เห็น เจสซี่ ลินการ์ด ลงสนาม คงทำให้แฟนพันธุ์แท้แมนยู นั้นมีความสุขและความหวังพอสมควร เพราะนี่จัดว่าเป็นการคืนสังเวียนให้กับเขาอีกครั้งนับตั้งแต่วันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา โดย โซลชา จับเขาเป็นหนึ่งใน 11 แข้งในเกมรับมือกับ “แตนอาละวาด”
ความจริงแล้ว ลินการ์ด แทบจะหมดโอกาสในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไปแล้ว และเขามักจะมีข่าวออกมาเป็นระลอกว่าเตรียมจะโดนทิ้งขว้าง แต่ว่าเขาก็ยังอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ เพื่อรอโอกาสของตัวเอง และวันนี้เจ้าตัวก็ได้รับสิ่งนี้เรียบร้อยแล้ว
ต้องยอมรับว่าฟอร์มของ ลินการ์ด ไม่ได้เด็ดเหมือนเมื่อก่อนที่เขากำลังรุ่ง ๆ อีกต่อไป และมีความเป็นไปได้ที่ โซลชา อาจจะรู้สึกได้ว่านักเตะคนนี้ คงจะต้องออกไปสร้างโอกาสในอาชีพใหม่กับสโมสรอื่น เพราะหากยังอยู่กับทีมต่อไป ตำแหน่งประจำคงอยู่ที่ตัวสำรอง
ฉะนั้น ในช่วง ตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 เดือนมกราคมนี้ มีโอกาสสูงที่ ลินการ์ด อาจจะต้องยอมรับความจริง และเลือกที่จะก้าวออกจากสโมสรอันเป็นที่รักที่เขาอยู่มาตั้งแต่เป็นนักเตะในศูนย์เยาวชนของทีม เพื่อหาโอกาสกลับมาลงสนามอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง
5. โซลชา ลบความผิดหวังให้กับทีมได้
บางคนมองว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจจะมีสภาพจิตใจที่หดหู่ จากการที่พวกเขาต้องพลาดการเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลถ้วยเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันในรอบ 12 เดือน แต่ผลงานในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าลูกทีมของ โซลชา สามารถลบความผิดหวังเหล่านั้น และกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ชัยชนะในเกมกับ วัตฟอร์ด ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก ต่อสภาพจิตใจของเหล่าทีม “ปีศาจแดง” เพราะมันจะทำให้พวกเขากลับมาสู้อีกครั้ง ที่สำคัญเกมต่อไปในช่วงกลางสัปดาห์หน้า ที่จะต้องทำศึกกับ เบิร์นลี่ย์ เกมพรีเมียร์ลีก นัดตกค้าง สาวก “เร้ด อาร์มี่” จะได้เห็นทีมได้โชว์ความเก่ง ที่น่าย่ำเกรงใส่คู่แข่งอีกครั้งแน่นอน
เพราะการได้แต้มในเกมกับ เบิร์นลี่ย์ นั้นจะทำให้ทีมทำคะแนนแซงหน้า ลิเวอร์พูล ขึ้นไปเป็นจ่าฝูงได้ และ โซลชา คงไม่มีทางให้ลูกทีมเล่นเพื่อให้ได้แต้มเท่านั้น แต่คงสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาระเบิดฟอร์มไล่ต้อน เบิร์นลี่ย์ อย่างเต็มที่ เพราะถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยก่อนเยือน แอนฟิลด์
ลองคิดดูถ้า แมนยูฯ เก็บ 3 แต้ม ในเกมหน้าได้สำเร็จ นั่นแปลว่า พวกเขาจะทำแต้มแซงหน้า “หงส์แดง” ไปก่อน 3 คะแนน และหากเกม “เร้ด วอร์” ทัพ “ผีแดง” สามารถทุบแชมป์เก่าได้อีก ทีมจะทำแต้มหนีไปอีก 6 คะแนน งานนี้ความฝันที่จะได้เห็นถ้วยแชมป์กลับสู่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นั้น ย่อมไม่ไกลเกินเอื้อม