เจาะประเด็น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด พ่ายแพ้ แมนเชสเตอร์ซิตี้ 0-2
ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดนอาถรรพ์ รอบตัดเชือก ตามหลอกหลอนอีกครั้ง หลัง “แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ” แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-2 อย่างราบคราบ ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในรอบรองชนะเลิศ ศึกคาราบาว คัพ เมื่อ วันพุธ ที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา ทำให้ทีมต้องเจ็บปวดกับการผ่านเข้าชิงเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 12 เดือน
สนใจแทงบอลออนไลน์ !!
ตอนนี้ “ปีศาจแดง” กับ “เรือใบสีฟ้า” ฟอร์มกำลังดี ในพรีเมียร์ลีก พวกเขาร้อนแรงจนยากจะมีใครหยุดได้ และมีลุ้นที่จะคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้ อย่างไรก็ตามในเกมถ้วยใบเล็กเมืองผู้ดี โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ค่อนข้างมุ่งมั่นมาก ๆ เพราะต้องการที่จะลบความผิดหวังจากซีซั่นที่ผ่านมา ที่ตกรอบตัดเชือก 3 รายการรวด
ที่สำคัญหาก โซลชา สามารถดับซ่าเพื่อนบ้านน่ารำคาญได้ ก็ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย และสร้างความฮึกเหิมก่อนที่จะนำทัพ “ผีแดง” บุกไปทำศึก “แดงเดือด” เกมลีก ปะทะ ลิเวอร์พูล ที่สนามแอนฟิลด์ ในขณะที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ซึ่งนำ “เรือใบสีฟ้า” คว้าแชมป์รายการนี้มาแล้ว 2 สมัยติดต่อกัน ดังนั้นเขายังคงมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จในรายการนี้เช่นกัน
เจาะประเด็น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด พ่ายแพ้ แมนเชสเตอร์ซิตี้ 0-2
เกมนี้เจ้าบ้านพกความมั่นใจ มาเต็มกระเป๋า เนื่องจากฟอร์มในลีกกำลังร้อนแรง ขณะที่ แมนเชสเตอร์ซิตี้ ก็ไม่แตกต่างกัน โดยในครึ่งแรก “เรือใบสีฟ้า” สามารถครองเกมได้มากกว่า แต่จังหวะหวาดเสียวเรียกเสียงหวีดร้อง จะเป็นของ “ปีศาจแดง” ขณะที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส, อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล และมาร์คัส แรชฟอร์ด แทบหายไปจากเกมในครึ่งหลัง
ด้าน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นั้นได้ทำการบ้าน มาเป็นอย่างดี แม้ในครึ่งแรกจะสร้างโอกาสได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถ ขยี้แนวรับของเจ้าบ้านได้มากนัก แต่ครึ่งหลังพวกเขาเปิดเกมรุก ทำให้ข่มทีมคู่ต่อสู้ได้จนอยู่หมัด ก่อนที่จะมาเป็น 2 ประตูสำคัญ ทำให้ทีมได้เข้าไปชิงถ้วยใบนี้ 4 ปี ติดต่อกัน
1. ฟอร์มกำลังดีทั้งสองทีม
ตอนนี้ต้องยอมรับว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฟอร์มกำลังร้อนแรงทั้งสองทีม เพราะผลงานในเกมพรีเมียร์ลีก ของพวกเขากำลังร้อนแรงสุด ๆ โดยเก็บชัยชนะเป็นว่าเล่นจนตอนนี้ ทั้ง 2 ทีม แห่งเมืองแมนเชสเตอร์ มีลุ้นแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้เลยทีเดียว
สำหรับทัพ “ปีศาจแดง” ภายใต้เกมรุกของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ฟอร์มจัดจ้านเหลือเกิน เพราะนับตั้งแต่ที่บุกไปแพ้ แอร์เบ ไลป์ซิก ตกรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พวกเขาสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นเลย โดยชนะ 5 แมตช์ และเสมอ 2 เกมเท่านั้น
ขณะที่ใน เกมลีก สูงสุดเมืองผู้ดี ตั้งแต่ที่แพ้ อาร์เซน่อล หลังจากนั้น “เร้ด เดวิลส์” เดินเครื่องเก็บชัยชนะไปถึง 8 เกม เสมอ 2 แมตช์เท่านั้น ทำให้พวกเขาเก็บไป 33 คะแนนเท่ากับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จ่าฝูง แต่แข่งน้อยกว่า 1 นัด โดยทั้งเกมรับ และเกมรุกของทีม กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มที่ดีสุด ๆ
2. แผงกองกลาง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ทำได้ดีแต่ยังไม่สุดยอด
การส่ง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ กับ เฟร็ด เล่นคู่กัน ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ สำหรับกองกลางของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะช่วยทำให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส กับ ปอล ป็อกบา มีอิสระในการเล่น เกมรุก ได้อย่างเต็มที่ โดยทั้งสองคน สามารถรับมือ กับแผงมิดฟิลด์ของ “เรือใบสีฟ้า” ได้อย่างยอดเยี่ยม
ดาวเตะอย่าง วิสกี้ ประสานงานกับ มิดฟิลด์ ชาวบราซิเลียน ได้อย่างลงตัว โดยพยายามจัดการกับ เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพ แมนเชสเตอร์ ซิตี้่ ไม่ให้เขา ได้มีโอกาสที่จะผ่านบอลสวย ๆ แม้ในช่วงกลางครึ่งแรกจะปล่อยให้ เดอ บรอยน์ มีโอกาสได้หลุดไปยิงไกล แต่โชคดีที่ดันยิงแม่นเสา
ขณะที่ช่วงที่เหลืออยู่ของเกมทั้ง 2 คนทำหน้าที่ได้ดี คอยคุมจังหวะ และตัดเกมแดนกลางทีมเยือน ไม่ให้พวกเขาได้มีโอกาสเล่นกันได้แบบง่าย ๆ ส่วน บรูโน่ ต้องบอกว่านี่เป็นเกมที่ต่ำกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เพราะ ดาวเตะชาวโปรตุกีส ไม่สามารถร่ายเวทมนตร์ในการจ่ายบอลเข้าไปพื้นที่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้่ ได้เลย
ส่วน ป็อกบา ยังคงโดนจับไปเล่นมิดฟิลด์ฝั่งซ้าย หลังโชว์ฟอร์มได้ดีเยี่ยมในเกมลีก ชนะ “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลล่า แมตช์นี้เจ้าตัว ยังคงรักษาฟอร์มเก่งเอาไว้ได้ และพยายามเป็นอย่างหนัก ในการครองบอล และผ่านบอลสวย ๆ ให้กับกองหน้าได้บ่อย ๆ แต่น่าเสียดายที่แนวรุก “ผีแดง” ขาดความเฉียบคมในการจบสกอร์
3. เกมรับ ของ แมนยู ยังไม่ค่อยเหนียวแน่น
การจับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ยืนคู่ กับ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ดูเหมือนจะทำให้ ทีมหลังของ “ปีศาจแดง” แข็งแกร่ง เพราะในช่วงครึ่งแรกทั้ง 2 คน สามารถช่วยกัน ปิดเกมบุกของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำได้ดีพอสมควร โดยเฉพาะกัปตันทีม ที่สามารถรับมือจังหวะสวนกลับ และตัด ราฮีม สเตอร์ลิง แทบหายไปจากเกม
อย่างไรก็ตามมีหลายจังหวะที่ แมนฯ ซิตี้ สามารถบุกขึ้นมาปั่นป่วนแผงแบ็กโฟร์เจ้าบ้านได้อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะช่วงต้นครึ่งหลัง ทีมเยือนเปิดเกมรุกอย่างหนักหมายเบิกร่องยิงประตูขึ้นนำให้ได้ ทำให้ แม็กไกวร์ กับ ลินเดอเลิฟ ต้องเปิดตำราพิชัยสงครามรับมือแทบไม่ไหว
จนในที่สุดก็มาเสียประตูจากจังหวะฟรีคิก ซึ่งหากจะว่าไปแล้วส่วนหนึ่งมาจากความผิดพลาดของ แม็กไกวร์ กับ ลินเดอเลิฟ เนื่องจากปล่อยให้ จอห์น สโตนส์ วิ่งสวนมาจากข้างหลัง และแตะบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย ได้อย่างง่ายดาย จริง ๆ แล้วหากเกมนี้ เอริก ไบยี่ ได้ลงตัวจริง เขาอาจจะทำได้ดีในการอ่านจังหวะเกม และน่าจะเคลียร์ลูกนี้ได้ทัน
ส่วนประตูที่ 2 มาจาก จังหวะการเล่น โดย “เรือใบสีฟ้า” ได้ลูกเตะมุม และ มาร์กซิยาล สกัดแล้วไปเข้าหัว อารอน วาน-บิสซาก้า ที่โขกทิ้งไม่เด็ดขาด ทำให้บอลไปเข้าทาง แฟร์นันดินโญ่ ที่ซัดตูมเดียวบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายสบายอุรา เป็นการตอกฝาโลง ฝังผีคาบ้าน
ฉะนั้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเกมรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีความเด็ดขาดในการเคลียร์บอลเมื่อโดนคู่แข่งโจมตีด้วยลูกตั้งเตะ และบรรดาคู่แข่งของพวกเขาคงเห็นจุดอ่อนที่จะเล่นงาน “ปีศาจแดง” แล้ว
4. แข่งแบบนัดเดียวรู้ผล
ที่ผ่านมารอบตัดเชือด หรือ รอบรองชนะเลิศ จะแข่ง 2 นัด แบบเหย้า-เยือน แต่ว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทำให้มีการโยกสลับโปรแกรมจนอัดแน่นเต็มไปหมด จึงมีการปรับเปลี่ยนมาเหลือแข่งนัดเดียวรู้ผล ซึ่งนี่คือก็เหมือนกับเป็นการซ้อมเล่นในรอบชิงชนะเลิศ ของทั้ง2 ทีม เพราะทีมที่เข้าไปยืนรอใน เวมบลีย์ อยู่ก่อนนั้นคือทีมในระดับเดียวกันอย่าง “ไก่เดือยทอง” ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ที่มี โชเซ มูรินโญ เทรนเนอร์ชาวโปรตุเกสที่ขึ้นชื่อเรื่องความเขี้ยวลากดินกุมบังเหียนอยู่
แทงบอลออนไลน์
สมัครเว็บคาสิโนออนไลน์
Ufaคาสิโนออนไลน์