เจาะ5ประเด็น ลิเวอร์พูล เสมอ เวสต์บรอมฯ ในเกมพรีเมียร์ลีกอังกฤษ
การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2020-21 เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จ่าฝูง เปิดสนาม แอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ “แบ็กกีส์” เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ทีมอันดับ 19 โดยมีแฟนบอลเข้าชมในสนาม 2,000 คน
ลิเวอร์พูล พลาดโอกาส ทำแต้มทิ้งห่างเหล่าผู้ตามหลังเจอรองบ๊วยอย่าง เวสต์บรอมวิชฯ บุกมาแบ่งแต้มถึงถิ่นแอนฟิดล์ โดยเกมนี้แม้ “หงส์แดง” จะเป็นฝ่ายออกนำเร็ว และครองเกมเหนือกว่ามาก แต่ต้องชมแท็คติกเกมรับของ แซม อัลลาไดซ์ ที่เหนียวแน่น จนเจ้าบ้านทำประตูเพิ่มไม่ได้ ก่อนจะใช้ทีเด็ดลูกกลางอากาศ ทำแสบลูกทีม เจอร์เก้น คล็อปป์ ถือเป็นวันที่นักเตะแนวรุกของลิเวอร์พูลโชว์ฟอร์มน่าผิดหวัง และนี่คือผลสอบของแข้งหงส์แดงในเกมนี้
เจาะ5ประเด็น ลิเวอร์พูล เสมอ เวสต์บรอมฯ ในเกมพรีเมียร์ลีกอังกฤษ
1. ดีแต่ป้อ ล่อ(เป้า)ไม่เป็น
ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ในเรื่องของศักยภาพในการครองเกม แต่สิ่งที่พวกเขายังไม่สามารถแก้ไขได้ ก็คือการที่ต้องเจอทีมที่เน้นตั้งรับเหนียวแน่น โดยเฉพาะ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ทัพ “หงส์แดง” ไม่สามารถเจาะเข้าไปสร้างความหวาดเสียวในกรอบเขตโทษคู่แข่งได้มากนัก
“เดอะ เร้ดส์” มีสถิติในการครองบอลได้เหนือกว่า “เดอะ แบ็กกี้ส์” ในช่วงครึ่งแรก ก่อนจะมาได้ประตูจาก ซาดิโอ มาเน่ ซึ่งเป็นการแอสซิสต์ของ โฌแอล มาติป จากนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถ ทำลายกำแพงเหล็กที่ แซม อัลลาร์ไดซ์ วางแท็กติกเอาไว้
ในครึ่งหลังเจ้าบ้านยังคงทำได้เหมือนเดิม ก็คือครองบอล ผ่านบอลไปมาทั่วสนาม และสุดท้ายก็ต้องจบด้วยการเปิดบอลจากริมเส้นซ้ายขวา แต่ไม่สามารถทำอะไรเกมรับ ที่ซ้อมกันมาเป็นอย่างดี เพื่อเตรียมป้องกันสไตล์การบุกแบบนี้ ของแชมป์เก่า และสุดท้ายความอดทน ผสมกับการเล่นประมาทของ “หงส์แดง” นำไปสู่ 1 แต้มสำคัญของ เวสต์บรอมฯ
แม้เกมนี้ ลิเวอร์พูล จะครองบอลได้เยอะ แต่พวกเขามีโอกาสยิงเข้ากรอบแค่ 2 ครั้งเท่านั้น โดยครั้งแรกก็คือจังหวะที่ มาเน่ ทำประตูให้ทีมขึ้นนำ ส่วนอีกจังหวะเป็นการโหม่งของ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ แต่โดน แซม จอห์นสโตน ปัดด้วยปลายนิ้วไปได้อย่างหวุดหวิด นอกนั้นเจ้าบ้านทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากต่อบอลไปมาเท่านั้น
2. ปัญหาบาดเจ็บกลับมาอีกแล้ว
ปัญหาบาดเจ็บเป็นของคู่กัน กับการเล่นฟุตบอล โดยเฉพาะ การมีโปรแกรมแน่นเอี๊ยด อย่างในพรีเมียร์ลีก แต่สำหรับ ลิเวอร์พูล ต้องบอกเลยว่าพวกเขามีปัญหา ผู้เล่นบาดเจ็บเยอะมากกว่าที่คาดคิดเอาไว้ โดยเฉพาะในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก
ล่าสุดสาวก “เดอะ ค็อป” ต้องใจเสียกันอีกครั้งเมื่อ โฌแอล มาติป มีปัญหาบาดเจ็บที่โคนขาหนีบในช่วงครึ่งหลัง ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ จำเป็นต้องส่ง รีส วิลเลี่ยมส์ แนวรับดาวรุ่งลงมาเล่นขัดตาทัพ ซึ่งต้องยอมรับว่าการขาด ดาวเตะชาวแคเมอรูน มีส่วนทำให้เกมรับของ “หงส์แดง” ระส่ำ จนกระทั่งถูกตีเสมอ
3. ลิเวอร์ต้องการตัวปั้นเกมอย่าง ติอาโก้
การเซ็นสัญญากับ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ก็เพื่อเหตุผลในการที่ทีม ต้องเจอสถานการณ์แบบนี้ นั่นก็คือ การโดนคู่แข่งเล่นเกมรับเหนียวแน่น ดังนั้นนักเตะที่มีศักยภาพในการเปิดบอลตามช่องที่เฉียบคม และมีความสามารถในการพลิกแพลงการเล่นจึงมีความจำเป็นอย่างมาก
ดาวเตะชาวสแปนิช เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด และมีความคิดสร้างสรรค์ในการปั้นเกมจากพื้นที่แดนกลางเพื่อเจาะกำแพงมนุษย์ที่หนาแน่น นอกจากไปจากการเปิดบอลจากริมเส้นที่มาจากปลายสตั๊ดของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
รูปเกมแบบนี้แสดงให้เห็นว่า “หงส์แดง” จะต้องมีนักเตะอย่าง ติอาโก้ มาช่วยปั้นเกม เพราะพวกเขาจะต้องเจอกับคู่แข่งที่เน้นการเล่นตั้งรับเหนียวแน่นแบบนี้อีกหลายเกมในฤดูกาลนี้่ ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ คล็อปป์ ตัดสินใจเซ็นสัญญากับนักเตะ แต่กระนั้นสิ่งนี้ยังเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแชมป์เก่าน่าจะมีผู้เล่นแบบ ติอาโก้ อีกคนในอนาคต
ถ้า ติอาโก้ ฟิตสมบูรณ์ กลับมาลงสนามได้ เขาจะเป็นนักเตะสำคัญ ในการเจอกับเกมลักษณะนี้ เพราะ ลิเวอร์พูล คงจะต้องเจอกับคู่แข่ง ที่ไม่ว่าจะเป็นทีมหนีตกชั้น หรือทีมที่ไม่อยากเห็น “หงส์แดง” ป้องกันแชมป์ได้ ด้วยการใช้แท็กติกแบบเดียวกันนั่นก็คือเน้นตั้งรับลึก
4. มนต์ขลัง มาเน่ ยังใช้ได้
ล็อปป์ เลือกใช้งามสามประสาน “หิน เหล็ก ไฟ” ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กลับมาประจำแนวรุกพร้อมกันอีกครั้ง หลังจากเกมที่แล้ว “บังโม” โดนดร็อปป์ ในแมตช์ที่ ลิเวอร์พูล ไล่ต้อน “ดิ อีเกิ้ลส์” คริสตัล พาเลซ 7-0
เกมกับ เวสต์บรอมฯ แน่นอนว่า มาเน่ ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นเหมือนที่เขามักจะทำได้ โดยเจ้าตัวจัดการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายทำให้ทีมขึ้นนำไปก่อน ซึ่งในเกมเยือน พาเลซ เจ้าตัวก็ซัดประตูได้เช่นกัน ทำให้ตอนนี้นักเตะกำลังเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
5. หมากเกมนี้ “บิ๊กแซม” รู้ต้องเล่นยังไง
แซม อัลลาร์ไดซ์ มักจะโดนแซวมาตลอด ว่าเป็นกุนซือหัวโบราณ ที่เล่นการเล่นฟุตบอลไดเรกต์ หรือการโยนยาวจากหลังไปหน้าโดยไม่สนใจที่จะใช้งานตำแหน่งมิดฟิลด์เพื่อปั้นเกม แต่กระนั้น “บิ๊กแซม” รู้ว่าเขาจะต้องวางแท็กติกยังไง ในการเจอกับทีมแบบ ลิเวอร์พูล
อย่าลืมว่า อัลลาร์ไดซ์ คือ กุนซือคนสุดท้าย ที่สร้างรอยด่างพร้อยในเกมพรีเมียร์ลีก ที่สนามแอนฟิลด์ เมื่อเขานำทีมเอาชนะในแอนฟิลด์ เมื่อกว่า 3 ปีก่อน จากนั้นเขาก็เคยนำ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน และ “เดอะ แบ็กกี้ส์” สามารถบุกมาแบ่งแต้มในเมกะลูกหนังสุดอาถรรพ์แห่งนี้
แม้ว่าในครึ่งแรก “หงส์แดง” จะข่ม เวสต์บรอมจนมิดก็ตาม และพวกเขาสามารถครองเกมได้ตลอดแต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือเจ้าบ้านไม่สามารถเจาะเข้าไปสร้างอันตรายบริเวณกรอบเขตโทษได้มากนัก ยกเว้นจังหวะที่ มาเน่ ซัดประตูเบิกร่องเท่านั้น
อย่างไรก็ตามในครึ่งหลัง อัลลาร์ไดซ์ มองเห็นแล้วว่า ลิเวอร์พูล ไม่สามารถแก้เกมที่เน้นรับเหนียวแน่นได้ ทำให้พวกเขากล้าที่จะเปิดเกมบุกเข้าใส่ และมีโอกาสสร้างความหวาดเสียวได้หลายครั้ง จนกระทั่งมาได้รางวัลแห่งความพยายามจาก ซามี่ อาจายี่
เจาะ5ประเด็น ลิเวอร์พูล เสมอ เวสต์บรอมฯ ในเกมพรีเมียร์ลีกอังกฤษ
หลังจากนั้นไม่มีทีมใดสามารถทำอะไรกันเพิ่มได้ จบเกม ลิเวอร์พูล ได้แค่เจ๊า เวสต์บรอมวิช อัลเบียน 1-1 “หงส์แดง” เก็บเพิ่มเป็น 32 คะแนนจาก 15 นัดยังรั้งจ่าฝูง ทว่าหยุดสถิติชนะรวดเกมเหย้าในลีกไว้ที่ 8 นัด ส่วน “แบ็กกีส์” มีเพิ่มเป็น 8 คะแนนจาก 15 นัด อยู่อันดับ 19 เช่นเดิม
สนใจแทงบอลออนไลน์คลิก!!
สนใจแทงบอลออนไลน์คลิก!!