มวยไทยเตะเก่งแต่ทำไมถึงไม่ค่อยมีแชมป์โลกคิกบอกซิ่งชาวไทย
ไม่มีใครสงสัยในพลังการเตะของนักมวยสายเลือดไทย แต่ผู้อ่านเคยสงสัยหรือไหม เหตุใด? กีฬาต่อสู้ที่ใช้หมัดและเท้าอย่าง “คิกบอกซิง” กลับไม่ค่อยมีแชมป์โลกคนไทย
หากจะหากีฬาสักชนิดหนึ่ง ที่มีความคล้ายคลึงกับ ศิลปะการต่อสู้ประจำชาติไทยมากที่สุด ผู้อ่านหลายคนคงนึกถึง “คิกบอกซิ่ง” (Kickboxing) ศิลปะการต่อสู้ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น
เพราะถ้ามองแบบผิวเผิน จะเห็นได้ว่า คิกบอกซิ่ง สามารถใช้เท้าและหมัดได้เหมือนกับมวยไทย แตกต่างกันแค่ห้ามใช้เข่าและศอก หากเป็นเช่นนั้น ชาติที่มีนักสู้เชี่ยวชาญเรื่องการเตะ และการต่อย เบอร์ต้นๆของโลก อย่างประเทศไทย ก็ดูไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หากคิดจะเอาดีทางกีฬาชนิดนี้ ?
แต่ทุกอย่างกลับตรงกันข้ามกัน “ไทย” ไม่ใช่มหาอำนาจของกีฬาคิกบอกซิ่ง และ แชมป์โลกส่วนมากของกีฬาชนิดนี้ก็ไม่ใช่นักมวยไทย
เพราะเหตุใดกัน ชาติที่นักมวย มีความสามารถด้านการเตะที่หนักหน่วง และการชกด้วยมือที่ไม่เป็นรองใคร ถึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จใน คิกบอกซิ่ง ?
เริ่มต้นด้วยความขัดแย้ง
คิกบอกซิ่ง (Kickboxing) เป็นกีฬาที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลาย คริสต์ทศวรรษ 1950’s ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่ผสมผสานระหว่าง คาราเต (Karate) กับ มวยไทย (Muay Thai) โดยแรกเริ่มมีการเสนอให้ตั้งชื่อว่า คาราเต บอกซิ่ง (Karate-Boxing) แต่ต่อมา โอซุมะ โนงูชิ ได้คิดคำนิยามกีฬานี้ว่า “คิกบอกซิ่ง”
จากนั้นไม่นาน คิกบอกซิ่ง ถูกนำมาเผยแพร่ยังประเทศไทย โดยโนงูชิ จนเกิดการชก คิกบอกซิ่ง ครัั้งแรกในโลก ระหว่างนักมวยไทยกับนักมวยญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1967 ที่เวทีมวยลุมพินี
การชกในครั้งนั้น ได้รับความสนใจจากแฟนมวยจำนวนมาก แต่ฝั่ง ไทย ประเมิน ศิลปะการต่อสู้ใหม่จากญี่ปุ่นไว้ค่อนข้างต่ำ จึงเลือกส่งนักชก 3 คนที่เป็นเกรดรองลงชก
ผลการชก เห่าไฟ ลูกคลองตัน นักชกที่ใกล้ปลดระวาง เป็นฝ่ายแพ้ อาคิโอะ ฟูจิฮารา ส่วน ตั้ง แซเล้ง ที่ผันตัวมาเป็นเทรนเนอร์ ก็แพ้ให้กับ ทาดาชิ นากามูรา มีเพียง ราวี เดชาชัย นักมวยดังที่ร้างสังเวียนไปร่วมปี เจอกับ เคนจิ คูโรซากิ แต่ไฟต์นี้ ราวี กู้หน้า ไล่ตะบันจนนักชกญี่ปุ่นพ่ายน็อก
หลังไฟต์นั้น มีเรื่องเล่าว่า คนในวงการมวยไทย ค่อนข้างไม่พอใจที่ โนงูกิ พยายามใช้เล่ห์กลสารพัด เพื่อทำให้ชื่อเสียงของ คิกบอกซิ่ง เป็นที่รู้จักในฐานะกีฬาการต่อสู้ที่ดีสุดในโลก ทั้งข่าวลือเรื่องการยุยงให้ เห่าไฟ ยอมแพ้ แลกกับการนำตัวไปชกที่ญี่ปุ่น รวมถึงการมาศึกษาศาสตร์มวยไทย เพื่อนำไปพัฒนาให้ คิกบอกซิ่ง ญี่ปุ่น ให้เป็นรูปเป็นร่าง
แม้อีก 8 ปีต่อมา ฝ่ายไทย แก้มือคืนได้ในการเอาชนะ นักคิกบอกซิ่ง จากญี่ปุ่น แต่มีเรื่องเล่าว่า โนงูชิ ถูก จอมพลถนอม กิตติขจร เนรเทศออกจากประเทศ ภายใน 24 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นบุคคลที่ไม่พึงปรารถนาของประเทศ
นั่นจึงเป็นต้นตอที่ทำให้ “คิกบอกซิ่ง” ไม่ได้รับความนิยมในไทย แถมยังมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี แม้ญี่ปุ่นจะพัฒนากีฬานี้ต่อ จนทำให้ คิกบอกซิ่ง เริ่มแพร่หลายไปยังหลายๆประเทศทั่วโลก ในช่วง 1960s เป็นต้นมา แต่ถึงกระนั้น คิกบอกซิ่ง ก็ยังไม่สามารถเจาะตลาดในไทยได้จนถึงปัจจุบัน
“คิกบอกซิ่ง เริ่มต้นเข้ามาเมืองไทย ด้วยภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก คนในวงการมวยยุคนั้น มองว่านี่คือกีฬาของญี่ปุ่นที่เข้ามาทำลายล้างมวยไทย แถมยังเอาศิลปะของเราไปดัดแปลงเป็นของตัวเอง ทำให้คนไทยไม่ค่อยอินกับ คิกบอกซิ่ง และมีความรู้สึกเชิงลบกับกีฬานี้”
“แต่ความเป็นจริง คิกบอกซิ่ง มีการแตกแขนงออกไปหลายสาย ทั้ง คิกบอกซิ่ง แบบญี่ปุ่น, บราซิล, ดัดช์, อเมริกา ไม่ได้มีแค่แบบญี่ปุ่น โดยแต่ละสาย ก็มีรูปแบบ กฏ กติกา ที่ไม่เหมือนกันนัก แต่โดยหลักการจะไม่มีการใช้ ศอกและเข่า เพราะจะให้เลือดออก และไฟต์จบเร็ว” ปลาย – จิติณัฐ อัษฎามงคล นายกสมาคมสมาพันธ์ศิลปะการต่อสู้ผสมผสานประเทศไทย (TMMAF) และ ว่าที่ประธาน ONE Championship (ประเทศไทย) ขยายความเพิ่มเติม
สไตล์ที่แตกต่าง
“หลายคนเข้าใจว่า คิกบอกซิ่ง คือมวยไทยที่ไม่มีเข่า และศอก แต่ความจริงทั้งสองกีฬา มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้จะมีการข้ามสายไปต่อยกันเสมอ แต่พวกเขาไม่เหมือนกัน”
“คิกบอกซิ่ง ใช้อาวุธได้ 4 จุด (2 หมัด 2 เท้า) ส่วนมวยไทย ใช้ได้ 8 (2 หมัด 2 เท้า 2 เข่า 2 ศอก) และสามารถกอดกัน เพื่อสร้างจังหวะวงในได้ แตกต่างกับ คิกบอกซิ่ง ที่ส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้กอดกันบางโปรโมชั่น ถึงขั้นแยกนักมวยทันที เมื่อมีการกอด”
ข้อความส่วนหนึ่งจากบทความ “คิกบอกซิ่ง VS มวยไทย : ความเหมือนที่แตกต่างกัน” ที่ถูกถ่ายทอดจากประสบการณ์และค้นหาข้อมูล จาก “เบนจามิน ซินบีมวยไทย” – ผู้เคยผ่านการชก มวยไทย, MMA บราซิเลียน ยิวยิตสู รวมถึงการต่อสู้แบบตะวันตก
เขาอธิบายว่า คิกบอกซิ่ง มีรากส่วนหนึ่งมาจาก มวยไทย แต่ทั้งสองกีฬาก็มีสไตล์การต่อสู้ที่แตกต่างกันมากพอสมควร เบนจามิน ยกตัวอย่าง คิกบอกซิ่ง แบบอเมริกา (American Kickboxing) เป็นรูปแบบการต่อสู้ที่ไม่ได้เกี่ยวกับข้องมวยไทย แต่ได้รับอิทธิพลมาจาก คาราเต้ ฟูล คอนแทก (Karate Full Contact) ซึ่งได้รับความนิยมในอเมริกา ช่วงยุค 60s-80s ผสมผสานกับ คิกบอกซิ่ง ญี่ปุ่น ก่อนพัฒนามาเป็น คิกบอกซิ่ง แบบฉบับอเมริกา ที่ห้ามเตะต่ำกว่าเข็มขัด และห้ามกอด (จะถูกแยกทันที)
ขณะที่ คิกบอกซิง ในญี่ปุ่น อย่างรายการ K-1 สามารถเตะได้ทั้งส่วนบน และล่างของร่างกาย รวมถึงเคยอนุญาตให้ตีเข่าได้ กอดได้ (แต่จำกัดจำนวนครั้ง) เช่นกันกับ คิกบอกซิง แบบดัตช์ (Dutch Kickboxing) ที่อนุญาตให้เตะตัดล่างได้ เพราะได้รับอิทธิพลมาจากญี่ปุ่น ส่วน คิกบอกซิ่ง จีน (Chinese Kickboxing,San Chou,Sanda) มีการผสมผสานระหว่าง มวยไทย, มวยปล้ำ, กังฟู ยูโด จึงสามารถทุ่ม และกอดได้
ความแตกต่างในเรื่องของสไตล์ และรูปแบบการชก
คิกบอกซิ่ง ที่หลากหลาย ตามแต่ละประเทศ ย่อมส่งผลให้ นักมวยไทย ที่ต้องออกไปต่อย คิกบอกซิง ในต่างแดน (เนื่องจากประเทศไทยไม่มีจัดการ คิกบอกซิงอาชีพ) มักดูเสียเปรียบคู่แข่ง ตั้งแต่ยุคบุกเบิก K-1
เพราะคิกบอกซิง เป็นกีฬาที่มีกฏ กติกา วิธีการให้คะแนนที่ไม่เหมือนกับมวยไทย (ในประเทศไทย) ทำให้นักชกบ้านเรา พบกับเจอความยากลำบาก และไม่สามารถแสดงฝีมือออกมาได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากถูกลดทอนอาวุธ แถมบางครั้งยังถูกตัดคะแนนจากการทำฟาวล์ ในจังหวะที่ตนเองคุ้นชิน
“ด้วยความที่เขานับถือนักมวยไทยมาก เพราะเป็นสายพันธุ์นักสู้ที่แข็งแกร่งสุดในโลก ผู้สร้าง K-1 จึงพยายามเอานักมวยไทยไปชก คิกบอกซิง ด้วยการวางคาแรกเตอร์ให้เราเป็นเหมือน สัตว์ประหลาดที่นักมวยญี่ปุ่นต้องเอาชนะให้ได้” จิติณัฐ อัษฎามงคล ว่าที่ประธาน ONE Championship กล่าวเริ่ม
“นักมวยไทย กับ นักคิกบอกซิงต่างชาติ ถูกฝึกฝนมาต่างกันเพราะกฏ กติกา และวิธีการเอาชนะ อย่าง นักมวยไทย จะมีร่างกายแข็งแกร่ง ทนทาน อึด เพราะต้องเอาร่างกายรับอาวุธหนักคู่ต่อสู้ แต่เครื่องร้อนช้า เพราะคุ้นชินกับรูปแบบการชกมวยไทย 5 ยก ที่ 1-2 ยกแรกจะเป็นการลองเชิง เพราะต้องทำให้เกิดราคาต่อรองการพนัน”
“สังเกตได้ว่า มวยไทย จะไม่ค่อยมีการน็อกในยกแรก จากนั้นจึงค่อยๆไต่ระดับการชกมาถึง 4 ที่เป็นตัวชี้ขาด ไม่ก็ต้องตีเข่า ฟันศอก ให้คู่ต่อสู้ มีอาการ เสียทรงมวย หรือน็อกเอาท์”
“จุดนี้แตกต่างกับ คิกบอกซิง ที่ไม่ตัดสินจากทรงมวย แต่ให้คะแนนจากใครเป็นฝ่าย ต่อย เตะได้เข้าเป้า มากกว่า นักชกคิกบอกซิง จึงใส่กันตั้งแต่ยกแรก เพราะมี 3 ยก แถมยังมีการออกหมัดชุด และมีการปล่อยหมัดที่มากกว่าในมวยไทย ทำให้ นักมวยคนไทย ที่ไม่คุ้นชิน จึงมีปัญหาในเรื่องการปรับตัวช่วงยก 1 และกลางยก 2 รวมถึงเรื่องการกอด การไล่แขน การโน้มคอตีเข่าที่นักมวยชิน แต่ผิดกติกาคิกบอกซิง”
เบนจามิน ซินบีมวยไทย เขียนถึงเรื่องนี้เช่นกัน โดยเขามองว่า คิกบอกซิง มีการเคลื่อนไหวศรีษะ และฟุตเวิร์ก การสร้างจังหวะการชก มากกว่ามวยไทย ที่ไปเน้นเรื่องการกอดเพื่อสร้างจังหวะตีเข่า ฟันศอก แม้แต่การเตะของ คิกบอกซิง ก็ไม่เหมือนกับมวยไทย
เพราะคิกบอกซิง เน้นการเหวี่ยงสะโพกเตะให้เข้าเป้า ส่วนมวยไทย จะเน้นการทื่รุนแรงด้วยหน้าแข้ง เพื่อทำให้คู่แข่งเสียอาการ รวมถึงลูกถีบ ที่ไม่ค่อยเกิดบนเวทีคิกบอกซิง
ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ต่างกันนี่เอง ทำให้ นักมวยไทย ยามข้ามสายไปต่อย คิกบอกซิง ต่างเจอกับปัญหาในการปรับตัว มากพอสมควร แม้จะมีต้นทุนร่างกายที่ดี และทักษะการเตะที่รุนแรงก็ตาม อีกปัญหาหนึ่งคือ เรื่องสรีระ ในการแข่งขันคิกบอกซิงอาชีพที่ยุโรป ไม่ค่อยนิยมจัดรุ่นเล็ก นักมวยไทยที่ต้องข้ามสาย จึงต้องมีน้ำหนักที่มากในระดับหนึ่ง เพื่อให้เข้าเกณฑ์
นักมวยไทยที่ผันตัวไปต่อยคิกบอกซิ่ง จึงนิยมต่อยในเอเชียมากกว่า อย่างในประเทศจีน, ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ในโปรโมชั่นของ ONE Championship ที่เริ่มมีจัดการทัวร์นาเมนต์ คิกบอกซิ่ง
กีฬาพี่น้องบนเส้นขนาน
หากสำรวจดูแชมป์โลก จากศึกคิกบอกซิงระดับโลก 3 โปรโมชั่น (Glory, K-1,Kunlun Fight) ในปัจจุบัน ก็จะพบว่า มีแชมป์โลกสัญชาติไทย เพียงแค่ศึกละ 1 คนเท่านั้น
ประกอบด้วย เพชรพนมรุ้ง เกียรติหมู่ 9 แชมป์โลกคิกบอกซิง รุ่นเฟเธอร์เวต ศึก Glory, ซุปเปอร์บอน บัญชาเมฆ แชมป์โลกรุ่นไลท์เวต Kunlun Fight และ แก้ว แฟร์เท็กซ์ แชมป์โลกรุ่น ซูเปอร์ไลท์เวต K-1
แม้การไปต่อยคิกบอกซิงในระดับโลก จะสร้างชื่อเสียงและรายได้สุดงาม 7 หลักต่อไฟต์ ให้แก่นักมวยไทย แต่ปัจจัยที่เกื้อหนุนให้ นักมวยไทย ไปประสบความสำเร็จใน คิกบอกซิง ยังมีน้อยเกินไป ต่อให้มีตัวอย่างของ นักมวยไทยที่ได้ดิบได้ดีจากการต่อย คิกบอกซิง อย่างเช่น บัวขาว บัญชาเมฆ ที่โด่งดังจากศึก K-1 ที่ปราบนักมวยญี่ปุ่นเป็นว่าเล่น และต่อยอดความดังในรายการ Kunlun Fight ก็ตาม
อุปสรรคสำคัญคือ
โครงสร้างคิกบอกซิงในไทยยังไม่มี ครูมวยที่มีความรู้เกี่ยวกับ คิกบอกซิ่ง ยังมีน้อย และค่ายจำนวนมากก็ไม่ยังค่อยส่งเสริมให้นักมวยตัวเองไปต่อย คิกบอกซิง เพราะอาจมีความเชื่อว่า คิกบอกซิงเป็นกีฬาที่ลดทอนคุณค่ามวยไทย
ทั้งที่ในความจริง มวยไทย
สามารถเรียนรู้หลายๆอย่างจาก คิกบอกซิงได้ เช่น ระบบวิทยาศาสตร์ การฝึกซ้อมพัฒนานักมวยอย่างเป็นระบบ รวมถึงสร้างมูลค่าให้นักมวยได้มหาศาล อย่าง บัวขาว, พี่แสนชัย ที่มีชื่อเสียงในต่างแดนเพราะการต่อยคิกบอกซิง
ก็น่าเสียดายเหมือนกัน เพราะในขณะที่ นักคิกบอกซิงต่างชาติ เดินทางมาฝึกและซึบซับและนำเอาเทคนิคบางอย่างของ มวยไทย ไปพัฒนาจนเป็น นักคิกบอกซิงที่เก่งกาจ บ้านเรายังไม่ค่อยเปิดรับที่จะเรียนรู้บางอย่างจาก คิกบอกซิง รวมถึงยังติดกับการพนันมากเกินไป
มวยไทย (ในประเทศ) และ คิกบอกซิง จึงกลายเป็นกีฬาพี่น้อง ที่ดูเข้ากันได้ และน่าจะไปด้วยกันได้ดี แต่กลับยืนบนเส้นขนาน ที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ก้าวข้ามเส้นนั้นได้ เพียงเพราะอคติ และการไม่เปิดใจเรียนรู้กัน ซึ่งมันอาจจะดีกว่าหากเราเปิดใจเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อยกระดับมวยไทยให้ไปอีกขั้น
“ผมรู้สึกว่าศิลปะการต่อสู้ทั้งมวยไทยและคิกบอกซิ่ง ต่างมีประโยชน์ส่งเสริมต่อกัน” เบนจามิน ซินบีมวยไทย กล่าวเริ่ม
“หากครูฝึกมวยไทย เรียนรู้ทักษะการชก การเตะตัดแบบดัตช์ที่ทรงพลัง แม้แต่การจังหวะการหมุนตัวเตะ (แบบคิกบอกซิ่ง) ก็อาจช่วยให้ นักมวยไทย มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคู่ชกคงคาดไม่ถึงว่า นักมวยไทย จะเลือกใช้ลูกหมุนตัวเตะ”
มวยไทยเตะเก่งแต่ทำไมถึงไม่ค่อยมีแชมป์โลกคิกบอกซิ่งชาวไทย